ทุกท่านมีโอกาสร่วมสร้าง

ร่วมกด Like แชร์ข้อมูล เจดีย์กำลังก่อสร้าง ทุกท่านมีโอกาสร่วมสร้าง

วันเสาร์ที่ 17 กันยายน พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2554
วันศุกร์ที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2554
ปาฏิหาริย์ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ปาฏิหาริย์ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
วีดีโอชุดนี้จัดทำขึ้นเพื่อรวบรวมเรื่องราวเกี่ยวกับปาฏิหาริย์และเทิดทูนบูชาในบุญบารมีความดีและความเมตตาของพระเดชพระคุณพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) ผู้ก่อตั้งวัดเขาสุกิม หากมีความผิดพลาดประการใด ทางผู้จัดทำขอน้อมรับความผิดไว้ เพื่อการปรับปรุงแก้ไขให้ดีขึ้นต่อไป
อนึ่งเรื่องปาฏิหาริย์ต่าง ๆ ขององค์หลวงปู่ ได้มีการเล่าขานในหมู่ลูกศิษย์กันมานานแล้ว แต่องค์หลวงปู่ไม่ต้องการให้เผยแพร่มากนัก เพราะเหตุว่า จะทำให้ผู้คนสนใจและหลั่งไหลมาเพื่อจะทดสอบในอิทธิฤทธิ์ปาฏิหาริย์ของท่านทำให้เป็นสิ่งขัดขวางต่อการบำเพ็ญ และหลงลืมหลักคำสอนที่แท้จริงในทางพระพุทธศาสนา...ส่วนเรื่องหลักการสอนและการปฏิบัติธรรมนั้น หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ได้เคยปรารถไว้กับท่านพระญาณวิลาศ (บุญ สิริปุญโญ) เจ้าอาวาสวัดเขาสุกิม องค์ปัจจุบันนี้ไว้ว่า " คนที่จะสอนกันได้ต้องมีบารมีเกี่ยวข้องกันเป็นศิษย์เป็นอาจารย์ เป็นลูก เป็นหลาน เป็นพ่อ เป็นแม่ อะไรร่วมกันมาแต่อดีต ถึงจะสอนกันได้ เมื่อก่อนฟังแต่หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต ว่า..โอ๊ย...จริงๆ ทิ้งเลยอภิญญาต่างๆ เอาไว้เอาเจโตไว้ตัวเดียว เอาไว้กระทุ้งพระเณร เพราะว่าถ้าเป็นครูเป็นอาจารย์กันมา บารมีเกี่ยวข้องกันมา ก็มาหากันเอง ยอมรับกันเอง ทีแรกว่าจะเอาอภิญญาเนี่ยทรมานคน มันไม่ได้ มันได้แต่ผู้ที่มีบารมีเกี่ยวข้องกัน ถ้าไม่มีบารมีเกี่ยวข้องกัน ไม่มีประโยชน์อะไร เหาะให้เค้าดู เค้ายังจะด่าแม่เอาอีก เฮ้ย..อีแร้งมันยังเหาะเก่งกว่าท่านอีกน่ะ เค้าไม่ได้ศรัทธาตามมาศึกษาธรรมะหรอกนะ ถ้าเป็นสายบารมีแล้ว เค้าต้องมาหาเรา...ทิ้งไปหลายตัว เอาเจโตปริยญาณไว้ตัวเดียว "
บัดนี้ กาลเวลาได้ล่วงเลยมาจนถึงคราวที่หลวงปู่ได้ละสังขารจากพวกเราไปแล้ว เหล่าศิษยานุศิษย์จึงเห็นสมควรพร้อมใจกันเล่าขานเรื่องราวต่าง ๆที่ได้ประสบมากับตัวเองจริง ๆ จึงเป็นที่มาของเรื่องปาฏิหาริย์ ท้ายที่สุดนี้ขอนำพรที่หลวงปู่ฯให้เสมอๆ ในช่วงบั้นปลายชีวิตของท่านว่า “ขอให้เหมือนดอกไม้นะ ไปที่ไหนขอให้มีแต่คนรัก อย่าให้มีคนรังเกียจเลย ขอให้มีแต่ความสุข ความเจริญ ได้สร้างบารมีกันเต็มอิ่ม ทุกภพทุกชาติ เมื่อหมดศาสนาพุทธแล้ว ให้ไปรออยู่ข้างบนด้วยกัน หากในเมื่อพระพุทธเจ้าลงมาอุบัติแล้ว ให้ลงมาสร้างบารมีกันแบบนี้อีก ทุกภพทุกชาติ”
คณะศิษยานุศิษย์
1.jpg)
วันพฤหัสบดีที่ 1 กันยายน พ.ศ. 2554
วันพฤหัสบดีที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2554
วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554
บทความพิเศษ...ธรรมะใต้แสงดาว
ธรรมะใต้แสงดาว
เรื่องหมื่นธาตุและแสนโกฎิจักรวาล
ปีพ.ศ.๒๕๒๔ สมัยที่ขุดสระน้ำจะมีญาติโยมมาช่วยกันมาก เสียงรถยนต์ยังไม่เงียบเมื่อไร หลวงปู่ก็ยังไม่ขึ้นพัก หลวงปู่จะนั่งเป็นเพื่อนให้กำลังใจแก่ชาวบ้านที่มาช่วยงานทั้งหมด จะเป็นคนขับรถตัก คนขับรถบรรทุก ตลอดทั้งคนปลูกหญ้าตามขอบสระก็ดี หลวงปู่จะย้ายที่นั่งไปให้กำลังใจตรงโน้นพักหนึ่ง แล้วก็ย้ายที่นั่งไปให้กำลังใจชุดโน้นอีกพักหนึ่ง อย่างนี้เป็นต้น เวลานั่งให้กำลังใจคนงานหลวงปู่ก็ไม่ได้นั่งเฉยๆ หลวงปู่จะเทศน์ให้พระเณรฟังอยู่ตลอดเวลา หรือมักจะนำเรื่องโน้นเรื่องนี้มาเล่าประดับสติปัญญา บางครั้งก็พาพระเณรนั่งสมาธิไปด้วยคุมงานไปด้วย หรือเดินจงกรมไปด้วยคุมงานไปด้วย เป็นอย่างนี้ตั้งแต่เริ่มจนขุดสระเสร็จ จึงนับได้ว่าในระหว่างนี้พระเณรที่ลงไปนั่งเป็นเพื่อนหลวงปู่ก็จะได้ยินได้ฟังสิ่งแปลกๆ ไม่ซ้ำเรื่องในแต่ละวัน
คืนวันหนึ่งขณะที่หลวงปู่นั่งให้กำลังใจคนงานอยู่นั้น ท่ามกลางท้องฟ้าข้างแรมเดือนมืดสนิท ท้องฟ้าในฤดูหนาวจะแจ่มใสไร้เมฆหมอกใด ๆ ที่จะมาบดบังดวงดาว จึงทำให้บนท้องนภาสุกสกาวไปด้วยดวงดาวระยิบระยับเต็มท้องฟ้า หลวงปู่ปรารภพร้อมกับชี้มือไปที่ดวงดาว และกล่าวขึ้นมาว่า..นี่ดาวจระเข้..โน่นดาวไถ..นั่นดาวลูกไก่..ทางโน้นดาวเพชรหรือดาวพระศุกร์ก็เรียกดวงดาวทั้งหมดบนท้องฟ้านี้พระพุทธเจ้าบอกว่ามีอยู่ทั้งหมด“หนึ่งแสนโกฏิดวงหรือแสนโกฏิจักรวาล...”ดวงดาวแต่ละดวงก็คือจักรวาลหนึ่ง ๆ นั่นเอง แต่แยกเป็นจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่และที่ไม่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ ดาวที่มีแสงกะพริบวูบวาบๆ นั้นเป็นดาวหรือจักรวาลที่มีสิ่งมีชีวิตอยู่ส่วนดวงที่มีแสงนิ่งๆไม่กะพริบนั้นก็เป็นอีกจักวาลหนึ่งเช่นกัน...หลวงปู่เล่าต่อว่า...ดวงดาวทั้งหมดที่เรามองเห็นล้วนแต่เป็น ภพ ภูมิหนึ่งๆ ที่ดวงจิตวิญญาณของเราจะต้องไปจุติเสวยวิบากกรรม สวรรค์หกชั้นก็คือดวงดาวแต่ละดวงนั่นเองเหมือนโลกทิพย์ที่ผมไปสัมผัสมาแล้วจะมีแต่ความสุขดวงดาวแต่ละดวงบางดวงก็จะมีแต่ความทุกข์ยากลำเค็ญ ลำบากแสนเข็ญ ต้องเสวยวิบากกรรมไปจนกว่าจะหมดอายุขัย“ภพภูมิต่างๆ บางคนจะเข้าใจว่าเหมือนกับตึก เรียงซ้อนๆ กัน ชั้นกลางเป็นมนุษย์ ชั้นบนเป็นสวรรค์ ใต้ล่างเราเป็นนรก...”แท้ที่จริงแล้วไม่ใช่อย่างที่เราคิด พระพุทธเจ้าพระองค์บอกว่าดวงดาวบนท้องฟ้าที่เราเห็นนี้นั่นแหละ คือ ภพภูมิที่เราจะต้องไปจุติและเสวยวิบากกรรม...“สบายหรือลำบากขึ้นอยู่ที่ผลกรรมของแต่ละคนที่ทำเอาไว้นั่นเอง ถ้าทำกรรมดีก็ไปสู่ภพภูมิที่ดีเสวยทิพย์วิมาน ถ้าทำกรรมชั่วก็ไปสู่ภพภูมิที่เร่าร้อนเต็มไปด้วยไฟนรกเผาไหม้อยู่ตลอดเวลา...”ภพภูมิต่างๆ เหล่านั้นคือ
โลกเบื้องต่ำได้แก่อบายภูมิ ๖ มีนรกเปรตอสุรกายเดรัจฉาน
โลกเบื้องกลางได้แก่เทวภูมิ ๖ กับโลกมนุษย์ ๑
โลกเบื้องสูงได้แก่รูปพรหม ๑๖ อรูปพรหม ๔
ส่วนภูมิที่พ้นโลกไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีกมี ๔ ชั้น ได้แก่ พระอริยบุคคลสี่จำพวก คือพระโสดาบันโลกุตรภูมิพระสกทาคามี โลกุตรภูมิพระอนาคามี โลกุตรภูมิพระอรหันต์ โลกุตรภูมิซึ่งเป็นภูมิที่เหนือโลกเป็นแดนอมตะเป็นภูมิที่ไม่ต้องกลับมาเวียนว่ายตายเกิดอีก โลกมนุษย์เรานั้นเป็นย่านกลาง เป็นศูนย์กลางของการทำดีทำชั่วดวงดาวที่จัดว่าเป็นสวรรค์ชั้นที่ใกล้ตัวเราที่สุดได้แก่
สวรรค์ชั้นจาตุมมหาราชิกาภูมิเทพเจ้าที่อยู่ในชั้นนี้มีอายุ ๕๐๐ ปีทิพย์ หรือเก้าล้านปีมนุษย์ ผู้ที่ทำกรรมดีด้านบริจาคทาน สั่งสมบารมีในการบริจาคทานมาก ๆ ตายไปก็ไปอยู่สวรรค์ชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่สองดาวดึงสาภูมิเทพเจ้าที่อยู่ในชั้นนี้มีอายุ ๑,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือสามสิบหกล้านปีมนุษย์ สมัยที่เป็นมนุษย์หมั่นทำกรรมดีด้านบริจาคทานและรักษาศีลตายไปก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่สามยามาภูมิเทพเจ้าที่อยู่ในชั้นนี้มีอายุ ๒,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือหนึ่งร้อยสี่สิบสี่ล้านปีมนุษย์สมัยที่เป็นมนุษย์หมั่นทำความดีด้านให้ทานรักษาศีล และฟังธรรมตายไปก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่สี่ตุสิตาภูมิเทพเจ้าที่อยู่ชั้นนี้มีอายุ ๔,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือห้าร้อยเจ็ดสิบหกล้านปีมนุษย์ สมัยที่เป็นมนุษย์หมั่นทำกรรมดีด้านให้ทานรักษาศีลฟังธรรม และเริ่มมีการทำสมาธิภาวนา ตายไปก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่ห้านิมมานรตีภูมิเทพเจ้าที่อยู่ชั้นนี้มีอายุ ๘,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือสองพันสามร้อยสี่ล้านปีมนุษย์สมัยที่เป็นมนุษย์หมั่นทำความดีด้านการทำจิตให้บริสุทธิ์ ให้ทานด้วยจิตบริสุทธิ์รักษาศีลให้บริสุทธิ์ และมีการปฏิบัติธรรมภาวนาทำสมาธิตายไปจึงก็อยู่สวรรค์ชั้นนี้
สวรรค์ชั้นที่หกปรนิมมิตตวสวัตตีภูมิเทพเจ้าที่อยู่ชั้นนี้มีอายุ ๑๖,๐๐๐ ปีทิพย์ หรือเก้าพันสองร้อยสิบหกล้านปีมนุษย์สมัยที่เป็นมนุษย์หมั่นทำความดีด้านบำเพ็ญภาวนาทำจิตให้บริสุทธิ์อย่างสูงส่ง มีคุณธรรมเต็มพร้อมทั้งด้านศีล สมาธิ ปัญญา มีการปฏิบัติธรรมบำเพ็ญสมาธิภาวนาให้จิตบริสุทธิ์อย่างอุกฤษ ตายไปจึงอยู่สวรรค์ชั้นนี้
ชั้นพรหมโลกอีก ๑๖ ชั้นยิ่งพิสดารละเอียดอ่อนกว่าสวรรค์ ๖ ชั้นมากมายนัก
ส่วนโลกมนุษย์ภูมิของเรานั้นเป็นที่อยู่ของผู้ที่มีใจสูงได้แก่มนุษย์พวกเราๆ นี่เอง มีอายุโดยเฉลี่ยในสมัยพุทธกาล๑๐๐ ปี แต่ปัจจุบันนี้อายุสูงสุดของมนุษย์เราเหลือเพียง ๗๕ ปี ถ้าเกินกว่า ๗๕ ปี ก็ถือว่าได้กำไร โลกมนุษย์เรานั้นเป็นสถานที่ประกอบกรรมดีหรือกรรมชั่ว ใครจะไปที่ต่ำหรือที่สูงก็มาเริ่มต้นกันที่โลกมนุษย์ของเรานี่เอง แต่ยังมีโลกอีกโลกหนึ่งที่อยู่ปะปนกันกับโลกมนุษย์ได้แก่
โลกเดรัจฉานภูมิซึ่งเป็นที่อยู่ของสัตว์อีก ๔ ประเภท หนึ่งสัตว์ไม่มีเท้าไม่มีขา เช่น งู ปลา ไส้เดือน สัตว์ที่มีสองขา เช่น นก ไก่สัตว์ที่มีสี่ขา เช่นวัว ควาย และสัตว์ที่มีมากกว่าสี่ขา เช่น ตะขาบ กิ้งกือ สัตว์พวกนี้มีอายุไม่แน่นอนขึ้นอยู่ที่กรรม สมัยที่เป็นมนุษย์เป็นคนที่จิตไม่บริสุทธิ์ ประพฤติอกุศลกรรมอันหยาบช้า นี่เป็นเพียงเศษบาปกรรมที่หลงเหลือมาจากนรกแล้วจึงมาเกิดเป็นสัตว์เดรัจฉาน อีกอย่างหนึ่งเป็นเพราะคตินิมิตเมื่อเวลาใกล้จะตายเศษบาปอกุศลกรรมที่ตนทำไว้นั้นมาให้ผล คตินิมิตจะแสดงให้เห็นถึงสถานที่ หรือวัตถุชนิดใดชนิดหนึ่ง เช่นแห อวน ศาสตราวุธหรือบาปกรรมที่ตนเคยทำไว้ เช่น เคยฆ่าหมู ฆ่าไก่ ก็จะเห็นเป็นภาพว่าตัวเองถูกฆ่า บ้างก็จะหวีดร้องขอชีวิตตอนใกล้จะตายหรือหวงห่วงทรัพย์สมบัติอย่างใดอย่างหนึ่งของตน จิตก็จะไปยึดเรื่องนั้นมาเป็นอารมณ์ ถ้าจิตดับวูบลงในขณะนั้น ทุคติย่อมเป็นที่หวังได้แน่นอน ย่อมไปเกิดเป็นอย่างใดอย่างหนึ่งในภพภูมิของสัตว์เดรัจฉานนั่นเอง เช่น“อาจจะเกิดเป็นจิ้งจก ตุ๊กแก งูเหลือม หรืออาจจะไปเกิดเป็นควายให้เขาใช้ไถนา หรือไปเกิดเป็นหมาเฝ้าบ้านให้เขา ก็อาจจะเป็นได้...”ดังนั้นจึงต้องระมัดระวังให้จงดีอย่าให้พลาดท่า เสียทีไปเกิดในภูมิดังกล่าวนั้นได้เพื่อไม่ให้ประมาทจึงควรสร้างสติไว้ให้มั่นคง ให้สติของเราประคองจิตเอาไว้ให้อยู่ในบุญกุศลให้ได้ ให้นึกถึงความดีที่ทำเอาไว้ จะเป็นให้ทาน การบริจาคก็ดี การรักษาศีล ฟังธรรมตลอดทั้งการภาวนาก็ดี ขึ้นชื่อว่าความดีที่เราทำไว้ อยู่ที่ไหนนึกเอามาให้หมดนึกถึงพุทโธ ว่า พุทโธธัมโมสังโฆก็ได้นึกถึงพระอรหันต์ ว่า อะระหัง ๆ ก็ได้หรือนึกถึงแต่สิ่งที่ดีๆ แต่เราต้องทำความดีให้จิตของเราคุ้นเคยเสียก่อน ถ้าเราไม่เคยทำเอาไว้เลยเราจะนึกอย่างไรก็คงไม่มีความดีอะไรมาช่วยได้ เหมือนกับเราไม่เคยมีเงินฝากธนาคารเอาไว้เลย แต่เราจะไปเบิกไปถอนคงไม่ได้แน่ ส่วนคนที่เขาฝากไว้ประจำนั่นแหละเขาจะเบิกจะถอนเมื่อไรตอนไหนก็ได้ ดังนั้นคนที่คุ้นเคยกับการทำความดี คุ้นเคยกับการรักษาศีล บำเพ็ญสมาธิภาวนา เป็นอย่างดีแล้วนั่นแหละย่อมได้เปรียบกว่าบุคคลที่ไม่คุ้นเคยต่อความดี..ศีลห้าก็ไม่รู้ ศีลแปดก็ไม่รู้ ยิ่งสมาธิภาวนายิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย.แบบนั้นน่าสงสารต้องไปสู่อบายภูมิแน่นอน.!
อสุรกายภูมิเป็นที่อยู่ของพวกอสุรกาย เช่น เหล่าภุมมเทวดา และพวกดวงวิญญาณที่ชอบสิงสถิตตามศาลเจ้าก็ดีตามต้นไม้ก็ดี เป็นต้น
เปรตภูมิเปรต ๑๒ ชนิด๔ ประเภท ๒๐ จำพวก พอสิ้นกรรมจากนรกแล้ว เศษบาปกรรมยังไม่หมดเสียทีเดียวก็ต้องไปเสวยผลกรรมต่ออีกด้วยการเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานหวีดร้องซึ่งเป็นอกุศลกรรมเก่าอันเกิดจากที่ทำเอาไว้..เปรตบางประเภทตัวสูงเท่าต้นตาล มีมือใหญ่เท่าใบตาล บางประเภทปากเท่ารูเข็ม.เปรตเหล่านี้ที่มีชีวิตอยู่ได้เพราะผลกรรมหล่อเลี้ยงให้มีชีวิตเพื่อใช้กรรมไปจนกว่าจะสิ้นอายุขัย และสิ้นกรรม บางประเภทอยู่ได้ด้วยอาหารที่ผู้อื่นอุทิศให้เสวยของทิพย์ที่เรียกว่าบุญ จากการที่เหล่าบรรดาญาติพี่น้องอุทิศไปให้ หรือบุคคลอื่นอุทิศให้โดยไม่เจาะจงกับสัมภเวสีผีไร้ญาติ บางประเภทฉีกเนื้อตัวเองกินเป็นอาหารบางประเภทดูดเลือดตัวเองกินเป็นอาหารบางประเภทตาถลนออกมาเหมือนตาปู
โลกนรก ประกอบด้วย มหานรก ๘ ขุมอุสสทนรก ๑๒๘ ขุมยมโลกนรก ๓๒๐ ขุมโลกันตร์นรก ๑ขุม รวมเป็น ๔๕๗ ขุม
จนกว่าการขุดสระน้ำจะแล้วเสร็จ พระภิกษุสามเณรที่ลงไปนั่งเป็นเพื่อนหลวงปู่ให้กำลังใจแก่ผู้มีจิตศรัทธามาช่วยงานในการขุดสระน้ำในคราวครั้งนั้นก็ได้ยินได้ฟัง ทั้งธรรมะและสาระน่ารู้อื่นๆ จากที่หลวงปู่เทศน์ให้ฟังท่ามกลางเมฆหมอกและน้ำค้าง เพราะแต่ละคืนกว่าหลวงปู่จะขึ้นพักผ่อนเวลาก็ล่วงเลยไปถึงสองยามเป็นอย่างต่ำเกือบทุกคืน
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:19
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ,
ประวัติหลวงปู่สมชาย วัดเขาสุกิม
บทความพิเศษ...ทรมานนายแสวง
·èÒ¹¾èÍÊÁªÒ·ÃÁҹʹյ¾ÃÒ¹»èÒ¼Ùé¡ÅѺã¨
นายแสวง แถลงถ้อย เป็นชาวบ้านเขาสุกิม บ้านของนายแสวง อยู่ด้านทิศเหนือของวัดติดกับขอบสระน้ำหลวงพ่อพุทธโคดม ปัจจุบันนายแสวงประกอบอาชีพทำสวนผลไม้
นายแสวงเล่าว่าเมื่อสมัยที่ยังเป็นวัยรุ่นหนุ่มใหญ่อยู่นั้น พื้นที่แถบนี้ทั้งหมดจากเนินสูง - ยางระหงมาถึงเขาสุกิม เนินดินแดง - เขาลูกช้าง เลยไปจนถึงขุนซ่อง – ช่องกระพัด - แก่งหางแมว แถบนี้เป็นป่าดงดิบผืนใหญ่ของจังหวัดจันทบุรี สมัยพ่อแม่ก็อยู่กันแบบบ้านป่าบ้านดง ไม่เหมือนสมัยนี้ สวนผลไม้ก็เพิ่งจะมีมาถากถางทำกันจริง ๆ จัง ๆ เมื่อไม่นานมานี้เอง สมัยนั้นนายแสวงจึงมีงานประจำและงานอดิเรกคือการล่าสัตว์ นายแสวงเคยล่าสัตว์ตั้งแต่สัตว์เล็กจนถึงสัตว์ใหญ่ เช่น เก้ง กวาง หมี หมูป่า เสือ ช้าง เฉพาะช้างนายแสวงเคยล่าจากเขาสุกิมไปจนถึงขุนซ่อง แก่งหางแมว ซึ่งต้องเดินตามรอยเลือดไปเป็นระยะทางถึง 70-80 กิโลเมตร เลยทีเดียว กว่าจะได้งาช้างกลับมาบ้านแต่ละคู่ก็ใช้เวลาติดตามช้างเป็นอาทิตย์หรือเป็นเดือน ๆ สัตว์อื่น ๆ นอกจากช้าง เช่น เสือ หมี เก้ง กวางอยู่แถบบริเวณเขาสุกิมแห่งเดียวก็ยิงไม่ไหวแล้ว
เมื่อปีพ.ศ. 2507 บนเขาสุกิมได้มีพระธุดงค์คณะหนึ่งได้ขึ้นมาปฏิบัติธรรม คือคณะของท่านพ่อสมชาย นายแสวงก็เข้าทั้งวัด และ ขึ้นเขาล่าสัตว์ ได้พบปะกับท่านพ่อสมชายอยู่เป็นประจำแต่ไม่ได้ซาบซึ้งอะไรนัก ท่านพ่อสมชายก็มักหาโอกาสพูดคุยและขอร้องให้นายแสวงงดทำปาณาติบาต ขอร้องไม่ให้นายแสวงล่าสัตว์บนเขาสุกิม ซึ่งเป็นเขตที่ท่านพ่อได้ขอบิณฑบาตให้เป็นเขตอภัยทานและเพื่อให้พระภิกษุสามเณรได้ปฏิบัติธรรมโดยปราศจากข้อกังวลใดๆ แต่นายแสวงก็ไม่ได้รับปากแต่อย่างใด เป็นอันว่าเมื่อมีโอกาสหรือรู้ว่ามีสัตว์ใหญ่ลงมาหากินในละแวกนี้ นายแสวงเป็นต้องเตรียมอาวุธออกสะกดรอยตามทุกครั้งไป
วันหนึ่งนายแสวงออกล่าสัตว์ตามปกติก็ปรากฏว่าได้ยินเสียงร้องดังครืดๆ ๆ นายแสวงตามเสียงไปได้ ไม่ไกลก็พบรอยตีนหมีควายขนาดใหญ่เดินอยู่ทางด้านกุฏิแม่ชี นายแสวงสะกดรอยตามไปจนกระทั่งเห็นหมีควายขนาดใหญ่หน้าอกมีสีเหลืองอร่ามนอนกลิ้งเล่นไปมาอยู่บนก้อนหิน
โดยสัญชาติญาณของพรานไพร นายแสวงไม่รอช้ายกปืนเหนี่ยวไกลปล่อยกระสุนออกไปทันที ร่างของหมีควายกลิ้งตกไปจากก้อนหินดัง ตึบ แต่ไม่ตาย แต่กลับไปโผล่หน้ามองนายแสวงอีกด้านหนึ่งของมุมหิน นายแสวงบรรจุกระสุนยิงไปที่เป้าหมายอีกครั้งหนึ่ง เจ้าหมีควายตัวเดิมก็เดินมาโผล่หน้ามองนายแสวงอีกด้านหนึ่งอีก
เสียงปืนดังอยู่บนเขาไม่ต่ำกว่า ๒๐ นัด ดังจนเป็นที่แปลกใจของชาวบ้านที่อยู่ตีนเขา นายอ๋อย แก้วทรัพย์ บ้านอยู่หน้าวัดเช่นกัน อดทนที่จะได้ยินเสียงปืนต่อไปไม่ไหวเพราะเสียงปืนดังอยู่ระหว่างกุฏิแม่ชี ด้วยความเป็นห่วงพระที่อยู่บนวัดว่ามีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น และอยากจะรู้ว่าใครกันนะ ที่บังอาจไปยิงปืนบนวัดไม่เกรงใจพระเจ้าเสียงบ้างเลย นายอ๋อย แก้วทรัพย์ จึงเดินตามเสียงปืนขึ้นไปเรื่อย ๆ จึงพบเห็นนายแสวง กำลังบรรจุกระสุนเตรียมยิงอีกนัดสุดท้าย นายอ๋อย จึงเรียกตามภาษาคนคุ้นเคยกันว่า “…เฮ้ย แหวง แกยิงอะไรวะ จะหมดวันอยู่แล้ว…” “..ยิงหมีควาย หมีควายหน้าอกเหลืองตัวเบ้อเร้อแอบอยู่ข้างหินนั่น ไม่เห็นเร๊อะ มันไม่ยอมหนีไปไหนเสียด้วยซี วันนี้ยังไง ๆ ต้องเอาเจ้าหมีควายตัวนี้ให้ได้…” นายแสวงตอบพร้อมกับบรรจุกระสุนเข้าลำกล้องเตรียมยิงเป็นนัดสุดท้าย “แหวง หมีควายตัวเบ้อเร่ออย่างนี้ ฉันไม่เคยเห็นแกยิงเกิน ๕ นัดซักที นี่หมีตัวเดียวแกยิงมาตั้งแต่เช้าจนเที่ยงแล้ว ขิงจนกระสุนหมดย่ามแล้วไม่ถูกซักนัดเลย ฉันว่าหมีที่แกว่านี่มันจะไม่ใช่หมีจริงมากกว่า… “ นายอ๋อย กล่าว “…ไม่ใช่หมีจริงแล้วจะเป็นหมีเจ้าที่เจ้าป่าอย่างนั้นเร๊อะ..” “ไม่ใช่หมีเจ้าป่าเจ้าเขาอะไรหรอก แต่ฉันว่าจะเป็นหมีท่านพ่อมากกว่า ฉันว่าท่านพ่อทรมานแกแล้วแหวง เอ๋ย..” นายอ๋อย กล่าว
“ฉันก็แปลกใจตัวฉันเองเหมือนกันว่าวันนี้มือฉันจะตกขนาดนี้เชียวหรือ ทั้งที่นัดแรกก็กะว่าถูกกลางหัวจนกลิ้งตกลงไปข้างล่าง แต่ทำไมจึงไม่มีรอยเลือดแม้แต่หยดเดียว แถมยังไม่ยอมหนีไปไหน กับมาโผล่หน้าหลอกไห้ยิงจนอ่อนใจแล้ว ขอลองอีกทีนัดสุดท้ายถ้าไม่โดนก็จะขอเชื่อว่าเป็นหมีท่านพ่อ แน่ ๆ”
..กระสุนนัดสุดท้ายพุ่งออกจากปากกระบอกปืนเข้าสู่เป้าหมาย คือ เจ้าหมีควายหน้าอกด่างข้างก้อนหินที่โพล่หน้าออกมาให้ยิงอย่างท้าทาย และก็เหมือนเดิมคือไม่ถูกเป้าหมายใด ๆ ทั้งสิ้น นายแสวงมือสั่นหมดแรงที่จะประคองปืน พูดกับนายอ๋อยว่า “ …ฉันเชื่อแล้วว่าต้องเป็นท่านพ่อมาทรมานฉัน อย่างที่แกว่าจริง ๆ…” นายอ๋อย แก้วทรัพย์จึงบอกว่า “…พรุ่งนี้แกต้องไปขอขมาท่านพ่อซ๊ะ เดี๋ยวจะเป็นบาปเป็นกรรม แล้วทีหลังก็อย่ามายิงในเขตนี้อีก…”
วันต่อมานายอ๋อย แก้วทรัพย์ ก็ได้พานายแสวง แถลงถ้อย ขึ้นวัดเดินตรงไปบนศาลา บนอาสนะสงฆ์มองเห็นท่านพ่อนุ่งห่มจีวรเรียบร้อยนั่งคอยท่า เหมือนอย่างกับรู้ว่านายพรานใหญ่ประจำเขตนี้จะขึ้นมาหา คำแรกที่ท่านพ่อเอ่ยทักทายว่า “..เป็นไง แหวง เมื่อวานยิงหมีทั้งวันสนุกดีน๊อ ไม่มีทางได้กินหรอกเสียลูกปืนเปล่า ๆ …อาตมาต้องขอบิณฑบาตด้วยอย่าหาว่าพระขัดลาภเลย บริเวณเขตนี้ขอเอาไว้เป็นเขตอภัยทานไม่ว่าสัตว์เล็กสัตว์ใหญ่ อย่าทำลายชีวิตกันเลย อย่าเบียดเบียนกันเลย เขาก็ชีวิต เราก็ชีวิต สัตว์นั้นเป็นเสมือนเพื่อนร่วมโลก เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย อาตมาขอบิณฑบาตเถิด ถ้าโยมแหวงให้อาตมาได้ ต่อไปวันข้างหน้าโยมแหวงจะมีความสุข มีความเจริญ ลูกเต้าก็จะร่ำรวยมหาศาล..”
นายแสวงก้มลงกราบท่านพ่อพร้อมกับกล่าวคำขอขมาลาโทษ ให้ท่านพ่อยกโทษให้ และขอรับข้อที่ท่านพ่อขอบิณฑบาตทั้งหมดด้วยความเต็มใจ
ปัจจุบันนี้นายแสวง แถลงถ้อย หันมาประกอบอาชีพทำสวนผลไม้ ลูก ๆ หลายคนเป็นพ่อค้าทุเรียน มีรายหนึ่งเป็นผู้ส่งออกนอกรายใหญ่ ตัวของนายแสวงเข้าวัด ช่วยงานวัดทุกอย่างเท่าที่จะทำได้ ติดตามไปทอดผ้าป่า กฐินต่างจังหวัดกับท่านพ่อทุกครั้งไม่ได้ขาด รับใช้พระภิกษุสามเณรภายในวัดอย่างลูกศิษย์ที่ดีคนหนึ่ง…
***********************************
คณะศิษย์หน้าวัดเขาสุกิม
ผู้บันทึกเหตุการณ์
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:17
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
บทความพิเศษ...เปรตจัดระเบียบ
เปรตจัดระเบียบ
ไปนอนรวมกัน พอไปนอนรวมกันมันก็ไปจัดระเบียบ คือจัดระเบียบเปรตจัดระเบียบมันทำอย่างนี้ พอดึกๆหน่อยพระหลับมันก็ด้อมขึ้นไปเดินเลาะไปเลาะมา สามเณรตัวเตี้ยๆ เล็ก ๆ มันจับขาลากไปให้มันเสมอกับคนขายาวดึงจนหัวหล่นหมอน
โอ๊ย สั่นจนตัวแข็งกลัว มันเดินดูสม่ำเสมอดีแล้วจัดได้ดีแล้ว มันก็เดินขึ้นไปทางศีรษะอีกทีหนึ่ง ไปเดินเลาะดู อ้าวสามเณรหัวหล่นหมอนมันก็จับคอดึงขึ้นใส่หมอนเอาไปพิงไปเสมอกันเสมอกันเสร็จแล้วมันก็เวียนอยู่อย่างนั้นแหละดดึงทั้งคืนอย่างนี้เขาเรียกว่าเปรตจัดระเบียบ
จนกระทั่งพระอยู่ไม่ได้ หนีกัน วัดก็ร้าง อาจารย์....ไปเห็นว่า เอ นี่ ท่านสมชายทำอย่างนี้อย่างนี้นา เ ราเอาซะบ้างก็ประกาศ ญาติโยมก็รวมตัวกันทำบุญ ทำครั้งแรกไม่สำเร็จ มันยังมาตีฆ้องตีกลอง ตุ้มตั้ม ตุ้มตั้ม อยู่อย่างเดิม เอาครั้งที่สองอีกไม่สำเร็จมันยังตีกลอง ตุ้มตั้ม ตุ้มตั้มอยู่ โอ๊ย มันบกพร่องอะไรหนา มันบกพร่องอะไรมันถึงไม่สมบูรณ์
ทีนี้นิมนต์พระมาเป็นร้อยเลย ทีนี้เอาเป็นร้อยเลย ทำเป็นครั้งที่สาม ไม่สำเร็จ มันยังตีฆ้องตีกลอง ตุ้มตั้ม ตุ้มตั้ม อยู่อย่างเดิม ผลที่สุด อาตมาไปถึงพอดีก็เลยเล่าให้ฟัง พอเล่าให้ฟัง อาตมาก็เอาเถอะ เดี๋ยวจัดการให้ อาตมาดูพระแล้วไม่มั่นใจ บอก เดี๋ยวให้ผมหาเวลาให้ผมสักหน่อย ผมจะขอไปหาพระก่อน พอนึกได้พระดี ๆ มีอยู่จุดไหนบ้างเราก็ไปนิมนต์ เล่าความเป็นไปให้ฟัง ทุกองค์ก็ยินยอม ตกลงมากัน ก็เป็นอันว่าเราได้พระจริง ๆ มาซะ 4 องค์ สบายใจมาก
ก็บอกชาวบ้านว่าคอยดูละกันน้ะ อาตมาทำแล้วจะเรียบร้อยทันที จะไม่มีอะไรปรากฎเลย ก็เลยทำบุญอุทิศให้ อาตมาว่าง่าย ๆ อิทัง เม ทานัง ญาติกานัง เปตานัง ทักขิณัง โหตุ ผลทานของข้าพเจ้าที่กระทำในวันนี้ ข้าพเจ้าขออุทิศส่วนกุศลนี้ ให้แก่ญาติของข้าพเจ้า คือ นายทา ที่ล่วงลับดับขันธุ์ไปแล้วนั้น เผื่อว่านายทาไม่ได้รับทราบข่าวสารนี้ ข้าพเจ้าขอมอบข่าวสารนี้ แก่เพทดาเจ้าทั้งหลาย มีรุกขเทวดา ภุมเทวดา อากาศเทวดาเป็นต้น จงนำข่าวสารนี้ไปแจ้งแก่นายทา จนกว่าจะได้รับทราบ เมื่อทราบแล้วขอจงอนุโมทนา เมื่ออนุโมทนาแล้วหากตกทุกข์ได้ยากก็ขอให้พ้นจากทุกข์ หากมีความสุขแล้วขอให้มีความสุข ยิ่ง ๆ ขึ้นไป เทอญ
ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา ก็เป็นว่าเงียบ เขาก็ไม่เชื่อว่าอาตมาเนี่ยอุทิศส่วนกุศลให้ เขาเข้าใจว่าอาตมานี่ มีวัวธนู แล้วก็ปล่อยวัวธนูชนเปรตตาย บอกไม่จริง อาตมาสาบถสาบาน ผลที่สุดวันนั้นเป็นวันสันนิบาตใหญ่ พระสงฆ์เยอะ ญาติโยมก็เยอะ ตื่นเต้นกันว่าตาทาเนี่ยหายไปได้จริง ๆ สามสี่ตำบลเค้ามาดูกัน พอมาดูกันเสร็จเรียบร้อย
วันนั้นเค้าก็มารวมตัวกันเพื่ออยากจะทราบข้อเท็จจริงว่า ขนาดท่านอาจารย์......เนี่ยใหญ่โตขนาดไหน ดังคู่กับหลวงปู่มั่น ทำแล้วไม่สำเร็จ แค่ท่านสมชายเนี่ย พรรษาก็แค่เนี้ยเอง พอทำทำไมสำเร็จ เป็นเพราะอะไร อยากจะฟังข้อเท็จจริง ก็มากันเป็นการใหญ่ อาตมาก็อธิบายให้ฟังว่า การทำบุญต้องถึงพร้อมด้วยองค์สี่ประการ
หนึ่งพระสงฆ์ต้องเป็นพระจริง ๆ ไม่ใช่ผ้าเหลืองห่มหัวตอ ไม่ใช่ผ้าเหลืองห่มชาวบ้าน จิตใจของท่านต้องเป็นพระ มีศีลมีธรรมมีความประพฤติชอบ มีบุญมีกุศล ที่จะอุทิศส่วนกุศลให้กับผู้ที่ล่วงลับไปได้จริง อันนี้ข้อหนึ่ง
ข้อสอง อาหารการมาทำบุญนั้นต้องเป็นของบริสุทธิ์ ไม่ใช่ว่าไก่ตัวเป็น ๆ เอามาเคาะหัว เอามันมาฆ่าไม่ใช่อย่างนั้น ต้องเป็นของบริสุทธิ์
ข้อที่สามเราต้องกล่าววาจาอุทิศส่วนกุศลให้โดยตรง
ข้อที่สี่ต้องน้อมจิตลงนึกถึงภาพเลยว่า ท่านผู้ที่เราจะอุทิศส่วนกุศลนี้เป็นใคร ขอได้รับส่วนกุศลนี้ ถ้าพร้อมด้วยองค์สี่นี่รับรองได้รับร้อยเปอร์เซ็นต์
ถามว่าอาจารย์.....ทำบกพร่องข้อไหน จึงไม่สำเร็จ คือพระสงฆ์ทั้งหลายเหล่านั้น เท่าที่มองแล้ว ไม่ใช่พระสงฆ์ เป็นชาวบ้านธรรมดาโกนหัวโล้น ๆ ห่มผ้าเหลือง ๆ ไม่ได้ประพฤติวัตรอันเป็นสงฆ์ ไม่มีจิตใจอันเป็นสงฆ์ ไม่มีความประพฤติที่เป็นบุญเป็นกุศลที่จะอุทิศส่วนกุศลให้เค้าได้
เพราะฉะนั้นการทำบุญถึงแม้ว่า ร้อยหนึ่งก็ดีจะเอาแสนหนึ่งก็ได้ ก็ไม่มีส่วนได้รับ หากในเมื่อพระสงฆ์เหล่านั้นเป็นพระสงฆ์จริงแล้ว อาหารก็เป็นของบริสุทธิ์ กล่าวคำถวายทานถูกต้อง น้อมจิตลงไปจริง ๆ ไม่เอาน้ำภายนอกไปกรวด เอาน้ำใจล่ะดิ่งน้อมลง ถ้าเอาน้ำภายนอกมากรวดมันพะวงอยู่แค่น้ำ ยิ่งน้ำไปถูกสัมผัสกับมือแล้วยิ่งเสร็จเลย จิตใจไปเกาะอยู่แค่มือเท่านั้น ไม่ได้ถึงพี่ถึงน้อง
เราอย่าเอาน้ำมากรวด ต้องเอาน้ำใจอย่างอาตมาพาทำนั้น น้อมนึกถึงตาทา หน้าตาลักษณะเป็นยังไง ก็ขอให้มารับส่วนกุศลอันนี้ แค่นี้แหละตาทาก็ได้รับส่วนกุศล ไปเกิดดีสมสุขหายจากวัดนี้หายแล้ว ต่อจากนี้ไปวัดนี้ก็จะเป็นวัดหรือมีพระมีเจ้าต่อไป
เพราะฉะนั้นคำว่าวัดร้างจะไม่มีแล้ว จะต้องเป็นวัดดีและไม่ไม่ร้างอีกแล้ว มีพระมีเจ้าแล้ว ก็เป็นว่าปัจจุบันนี้ก็มีพระมีเจ้า นี่ก็เล่าสู่ฟังว่า การทำบุญอุทิศส่วนกุศลแก่ผู้ล่วงลับนั้น เราต้องทำให้พร้อมถึงองค์ แล้วอย่าเอาน้ำภายนอกมากรวด
เอาน้ำภายนอกมากรวดมันก็มองแต่น้ำ สัมผัสของน้ำมันถูกมือมันก็ไปรู้สึกอยู่แค่มือของตัวเอง ไม่ได้น้อมลง จิตไม่เป็นสมาธิ ไม่ได้น้อมลง ถ้าเราน้อมลงว่าพ่อแม่ของเรา หรือท่านผู้มีพระคุณมีลักษณะหน้าตาเป็นยังไง เราต้องน้อมลงจริง ๆ แล้วก็มีส่วนได้รับ แต่ต้องนึกเป็นภาพให้ได้ เพราะฉะนั้นวันนี้ เราไม่ต้องกรวดน้ำนอก เอาน้ำใจเลย จะมีส่วนได้รับ
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:16
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
บทความพิเศษ...ฝูงลิงหาหน่อไม้
มีความเกี่ยวข้องกับหลวงปู่สมชายอย่างไร
เมื่อปีพ.ศ. ๒๕๐๒ ในปีนั้น หลวงปู่สมชาย ได้ไปจำพรรษาอยู่ที่ถ้ำเป็ด ภูเหล็ก สกลนคร ซึ่งอยู่ห่างจากบ้านข้าพเจ้าประมาณ ๔ กม. ข้าพเจ้าจำได้ว่าในปีเดียวกันนั้น ท่านพระอาจารย์สีลา เทวมิตฺโต แห่งวัดโชติการาม ซึ่งเป็นครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงที่ข้าพเจ้าให้การเคารพนับถืออีกองค์หนึ่งได้มรณภาพลง ด้วยความที่หลวงปู่สมชาย ท่านเป็นพระที่มีนิสัยจิตใจเอื้อเฟื้อมาโดยตลอด ยิ่งครูบาอาจารย์มาถึงแก่มรณภาพอย่างนี้ด้วยแล้ว หลวงปู่สมชาย ท่านยิ่งขวนขวายจัดหาสิ่งของ ต่าง ๆ เพื่อนำไปร่วมในงาน หลวงปู่ได้ปรึกษาหารือกับพ่อออก แม่ออก ( โยมผู้ชาย โยมผู้หญิง ) ว่าสิ่งที่จำเป็นในตอนนี้คือ จะต้องหาอาหารไปร่วมในงานศพครูบาอาจารย์ เพราะว่าพระเณรและญาติโยมเมื่อรู้ข่าวการมรณภาพของท่านพระอาจารย์สีลาแล้ว ก็จะต้องเดินทางมาร่วมงานศพกันเป็นจำนวนมากอย่างแน่นอน
“พรุ่งนี้อาตมาจะไปร่วมงานศพ ถ้าได้หน่อไม้ไปร่วมในงานครั้งนี้บ้างก็จะได้บุญมาก เพราะทางวัดเขาจะได้นำไปปรุงอาหารเลี้ยงคน ฉะนั้นจึงขอให้พ่อออก แม่ออก พากันไปช่วยพิจารณาหาหน่อไม้เพื่อจะได้นำไปร่วมทำบุญวันพรุ่งนี้สักหน่อย”
ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านรีบออกเดินทางกันทันที เพื่อหาหน่อไม้ตามความประสงค์ของครูบาอาจารย์ กอแล้ว กอเล่า(กอไผ่) ตั้งแต่เช้าจนเที่ยง เพิ่งจะหาหน่อไม้ได้กันคนละหน่อบ้าง สองหน่อบ้าง บางคนก็ยังหาไม่ได้เลย ก็ทั้ง ๆ ที่รู้ว่าหน้านี้จะไปหาหน่อไม้จำนวนมาก ๆ อย่างนี้ได้ที่ไหน แค่หาไปแกงกินกันแต่ละวันยังหายากแล้ว ข้าพเจ้าจึงชวนกันกลับลงมาที่ถ้ำเป็ดด้วยความรู้สึกผิดหวัง เห็นหลวงปู่สมชาย นั่งรอพวกข้าพเจ้าอยู่ก่อนแล้ว ข้าพเจ้าจึงเข้าไปกราบเรียนหลวงปู่ว่า… “ท่านอาจารย์ครับ หน่อไม้บนภูนี้พวกข้าน้อยได้ขึ้นไปหามาทำอาหารกินกันทุกวัน บางวันก็ได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ถ้าจะเอาจำนวนมาก ๆ อย่างนี้คงจะหาไม่ได้ แน่นอน นิมนต์ท่านอาจารย์ไปกราบเยี่ยมศพอย่างเดียวก็คงไม่น่าเกลียดนี่ครับ ท่านอาจารย์ ….” (ข้าพเจ้าอวดรู้ดีกว่าครูบาอาจารย์เข้าไปนั่น)
หลวงปู่สมชายนั่งคิดอยู่ครู่หนึ่ง แล้วท่านจึงพูดขึ้นว่า … “ถ้าไม่มีสิ่งของติดไม้ติดมือไปร่วมงานศพครูบาอาจารย์ สู้ไม่ไปเสียเลยยังจะดีกว่า เดี๋ยวครูบาอาจารย์ทางอื่นมาเห็นเข้าก็จะว่าเราได้ว่า มีแต่จะไปดักกอบโกยเอาแต่ของผู้อื่น .. นิสัยของอาตมานั้นไม่มีนิสัยที่จะไปเอาของคนอื่นอยู่แล้ว มีแต่จะเอาให้ หรือเอาไปช่วยเท่านั้น ถ้าไม่มีสิ่งของไปร่วมงานศพครูบาอาจารย์ในครั้งนี้แล้ว อาตมาคงจะต้องรีบหนีจากเขตนี้ไปให้เร็วที่สุด จะได้ไม่เป็นที่ครหาของครูบาอาจารย์ทางอื่น..”
ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านทุกคนเมื่อได้ยินหลวงปู่สมชายพูดอย่างนั้น ทุกคนหน้าถอดสีตกใจ เพราะเกรงว่าหลวงปู่จะทิ้งพวกข้าพเจ้าไปที่อื่นแน่ ข้าพเจ้าจึงสะกดใจที่สั่นระรัวแล้วกราบเรียนว่า.. “พวกข้าน้อยขอกราบนิมนต์ให้พ่อแม่ ครูจารย์ อย่าได้ทิ้งพวกข้าน้อยไปที่อื่นเลย พ่อแม่ ครูจารย์ จะให้ข้าน้อยทำอะไร โปรดได้บอกเถิดครับ...”
“.. ถ้าอย่างนั้น อาตมาขอให้พ่อออก แม่ออก ลองพากันขึ้นไปหาหน่อไม้อีกสักครั้ง ถ้าได้ก็เอา ถ้าไม่ได้ ก็ถือว่าอาตมาคงหมดบุญที่จะอยู่กับพ่อออก แม่ออก ต่อไปได้ ก็คงจะอำลาพ่อออก แม่ออกไปที่อื่น..”
ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านไม่ได้รอช้า เพิ่งจะลงจากบนภูเขามาเหงื่อยังไม่ทันแห้งเลย แต่ก็ต้องพากันขึ้นไปบนภูเขาเป็นรอบที่สองอีกครั้งหนึ่ง ทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าจะไปได้หน่อไม้มาจากที่ใด เมื่อเข้าเขตป่าไผ่ ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านอีกสิบกว่าคนถึงกับตกตะลึง .. หน่อไม้กองไว้เป็นกอง ๆ ข้างกอไผ่ เหน็บไว้ที่กอก็มี ช่างมากมายเหลือเกิน แล้วฝูงลิงตัวโต ๆ ที่ปืนป่ายอยู่บนกอไผ่นั้นมาจากไหน วิ่งกันขวักไขว่ บางพวกก็อยู่ข้างบน บางพวกก็อยู่ข้างล่าง พากันขุด พากันล้วงเอาหน่อไม้ออกมากองไว้เป็นหย่อม ๆ สัญชาตญาณของลิงทั้งฝูงเหมือนบอกว่า ลงมาช่วยหาเอาไว้รอท่า พวกเราจึงช่วยกันเก็บใส่กระสอบพักเดียว ก็ได้หน่อไม้จำนวนมากมายถึง ๕ กระสอบ พอเพียงที่หลวงปู่สมชายจะเอาไปร่วมงานศพครูบาอาจารย์ได้แล้ว..”
ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านต่างทราบกันดีว่า ฝูงลิงป่าประเภทนี้ ไม่มีแน่นอนในเขตนี้ สมัยก่อนโน้นก็เคยมีอยู่บ้าง แต่ก็ไม่ใช่ประเภทนี้และก็ได้ถูกชาวบ้านทำร้ายจนสูญพันธุ์ไปหมดแล้ว และหน่อไม้ก่อนหน้านี้ยังไม่ทันข้ามวัน ข้าพเจ้าและเพื่อนบ้านได้ขึ้นไปค้นหากันจนเหงื่อหยดแล้วหยดอีก แทบจะหาไม่ได้ แต่คราวนี้ไม่ต้องค้นหาให้ลำบาก เพียงแค่เก็บใส่กระสอบอย่างเดียวก็เก็บตามลิงแทบไม่ทันอยู่แล้ว ตั้งแต่บัดนั้นมาถึงบัดนี้ ข้าพเจ้ายังจำไม่ลืม จะลืมได้อย่างไร เพราะยังมีความสงสัยอยู่ว่า ..ฝูงลิงป่าทั้งหลายเหล่านั้นมาจากไหน หน่อไม้จำนวนมากมายเกิดมีขึ้นมาได้อย่างไร…
“…ข้าพเจ้าเคยได้ฟังจากหลวงปู่สมชายท่านเทศน์อบรมอยู่ เสมอ ๆ ว่า อันคุณงามความดีนั้นให้กระทำไว้เถิด เมื่อถึงคราวจำเป็นแล้ว.. คนไม่เดือดร้อน เทวดาก็เดือดร้อน.. คนไม่ช่วยเหลือ เทวดาก็ช่วยเหลือ..”
คณะศิษย์บ้านหนองม่วง - บ้านหนองแวง
บ้านหนองบัว – ถ้ำเป็ด สกลนคร
ผู้บันทึกเหตุการณ์
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:14
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
บทความพิเศษ...หินก้อนน้ำอ้อย
หินก้อนน้ำอ้อย
(เกี่ยวข้องกับหลวงปู่อย่างไร)
หินก้อนน้ำอ้อย อยู่ที่ภูวัว อำเภอเซกา จังหวัดหนองคาย ลักษณะเป็นก้อนหินขนาดใหญ่ตั้งซ้อนอยู่บนหินก้อนเล็กโดยธรรมชาติ ขนาดของหิน ก้อนบนเส้นผ่าศูนย์กลางใหญ่ประมาณ 10 เมตร หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย เคยปรารภให้ศิษยานุศิษย์ฟังอยู่เสมอ ๆ ว่า
“… สมัยที่ออกบำเพ็ญบนภูวัว ชอบไปแถบถ้ำพระ และถ้ำบูชาเป็นประจำ และอีกแห่งหนึ่งที่มักจะขาดไม่ได้ก็คือ บริเวณหินก้อนน้ำอ้อย แถวนั้นจะเป็นทางผ่านหากินของสัตว์ร้าย มีเสือ และช้าง เป็นต้น จึงทำให้การภาวนาสงบวิเวกดี ใต้ก้อนน้ำอ้อยก็ใช้เป็นที่นั่งภาวนา และเดินจงกรม ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อน ข้างบนก้อนน้ำอ้อยก็ใช้เป็นที่หลบเสือหลบช้างได้เป็นอย่างดี”
หลวงปู่เล่าว่า “…ครั้งหนึ่งได้ไปพักบำเพ็ญที่หินก้อนน้ำอ้อยกับหลวงปูฝั้นเพียง 2 องค์ มีอยู่วันหนึ่งขณะที่กำลังภาวนาสงบดี ๆ อยู่นั่น ก็ได้ยินเสียงต้นไม้หักโครมครามมาเป็นทาง พระกรรมฐานผู้อยู่กับป่าเป็นอาจิณจึงคาดการณ์ได้ว่า …นี่คือเสียงโขลงช้างจำนวนมากกำลังมุ่งหน้าตรงมาทางด้านนี้อย่างแน่นอน ลูกศิษย์กับอาจารย์ทั้งสององค์จึงปรึกษากันว่าควรจะไปหลบขึ้นไปบนหินก้อนน้ำอ้อยก่อนคงจะดี เมื่อโขลงช้างผ่านไปแล้วจึงค่อยลงมาใหม่”
หลวงปู่สมชาย จึงได้เก็บกลดและบริขารของหลวงปู่ฝั้น และของท่านเองนำขึ้นไปไว้บนก้อนน้ำอ้อย แล้วจึงเอาผ้าสรงน้ำหย่อนลงมาให้หลวงปู่ฝั้นจับ แล้วดึงหลวงปู่ฝั้นขึ้นไปหลบโขลงช้างบนก้อนน้ำอ้อยนั้นโดยปลอดภัย …เมื่อโขลงช้างเดินมาถึงบริเวณนั้น หลวงปู่ฝั้นได้หยิบเอาหลอดไม้ไผ่สำหรับเป่าให้สัญญาณออกมาเป่า ..ว๊..อ..ก..ๆ..ๆ..ๆ..ว๊..อ..ก..ก..ก..ว๊..อ..ก.ๆ.ๆ.ๆ เมื่อเสียงหลอดไม้ไผ่ดังขึ้นเท่านั้น โขลงช้างก็พากันแตกตื่นวิ่งหนีไปกันจนหมดทั้งโขลง
หลวงปู่สมชาย ท่านจึงมักพูดปรารภถึงบุญคุณหินก้อนน้ำอ้อยอยู่เสมอ ๆ ว่า “หินก้อนน้ำอ้อยให้ความสงบ ให้ความสุขสบาย ให้ความสงบร่มเย็น ฝนตกก็ไม่เปียก แดดออกก็ไม่ร้อน ทั้งยังให้ทั้งความปลอดภัยจากสัตว์ร้ายก็หลายครั้ง.. ยิ่งมีสติควบคุมจิตได้อีกด้วย ย่อมพ้นจากภัย คือ กิเลส ตัณหา และพ้นจากบ่วงของมาร เป็นที่สุด…”
…คณะศิษย์นายายอาม จันทบุรี
ผู้บันทึก
จากครั้งหนึ่งที่เคยติดตามไปบำเพ็ญที่ภูวัว
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:12
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
บทความพิเศษ...สมมุติบัญญัติ
สมมุติบัญญัติ
พระเดชพระคุณท่านก็จะยุให้ผมคุย ผมปรารภซะนิดนึงว่า เรื่องคุยนี่ผมนี่ก็ลำบากอยู่ ครูบาอาจารย์ทั้งหลายที่ขึ้นมาก็ล้วนแต่ เป็นผู้ที่มีความรู้สูง เรียกว่าพระไตรปิฎกเคลื่อนที่ก็ได้ และจะให้ผมคุย ไม่รู้จะคุยอะไร ผมมองดูแล้ว มันไม่มีอะไรจะคุย เพราะทุกอย่างท่านทั้งหลายก็รู้แล้วทั้งนั้น ไอ้สิ่งที่เอาคุยซ้ำๆ ซาก ๆ มันรำคาญ มันรำคาญ เพราะนั้นก็ แต่ถึงอย่างไรพระเดชพระคุณท่านนิมนต์ก็จะลองดูคุยสักนิด
ผมก็ต้องขอโอกาสพระเดชพระคุณพระปริยัติเมธีด้วย และพระเถรานุเถระตลอดจนเพื่อนสหธรรมมิกด้วย และก็ท่านศาสดาจารย์ ดร.ปรีดี เกษมทรัพย์ และท่านที่ปรึกษาของท่านรัฐมนตรีช่วยด้วย และก็คณะแม่ชี และญาติโยมทั้งหลายด้วย คืออันนี้ไม่ได้ตั้งใจจะเทศน์ไม่ได้ตั้งใจจะพูด ก็ไม่ได้คิดอะไรมาเลย จะมาใช้
ปฏิภานคุยเลย ก็จะไม่น่าฟัง แต่อย่างไรก็จะขอเล่าอะไรสักเล็กน้อย เพราะพระเดชพระคุณท่านคุยเอาไว้แล้วว่า เคยไปที่ไหนบ้าง เคยอยู่ที่ไหน
ผมก็เกิดที่จะหวัดร้อยเอ็ดนั่นแหล่ะครับ ปี พ.ศ. 2487 ผมก็ไปอยู่กับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ หลังญี่ปุ่นจะเข้าเมืองไทย ตั้งแต่สมัยโน้นจนถึงสมัยนี้ก็รวมเป็นเวลา 42 ปีครับ ก็นานโขเหมือนกัน และครับก็เป็นผู้ที่มีโชคดี เพราะว่า ยังไงไม่ทราบนะครับ แต่ผมก็คิดว่าผมเป็นคนที่มีโชคดี เพราะผมได้ไปเจอหลวงปู่มัน ภูริทัตตเถระ ยังมีโอกาสอุปัฏฐากอุปถัมถ์ท่านอยู่ ขาด 6 ปีไม่กี่วันหรอกครับ ก็ถือว่านานพอสมควร และก็มีบรรดาพวกเณร ๆ ทั้งหลาย ซึ่งผมเป็นหัวหน้าใหญ่ ก็อยู่ด้วยกันหลายองค์ครับ อุปฐากอยู่ที่นั้น
ผมก็อุปัฎฐากอุปถัมถ์ ดูพฤติการณ์ท่าน ก็รู้สึกว่า หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระนี้ เป็นที่น่าเคารพน่ากราบไหว้บูชาเหลือเกินครับ ท่านเป็นพระมหาเถระผู้ใหญ่ เป็นผู้มีความประพฤติดีปฏิบัติชอบ ถ้าจะให้ผมว่า ให้ยกย่องก็ควรจะยกย่องว่า สมควรจะยกย่องเป็นพระอรหันต์ สำหรับในสายตาและก็การพิสูจน์ของผม ผมเป็นคนสันดานไม่ดีครับ ชอบติคน ชอบมองหาอะไรต่ออะไรต่างๆ ส่วนใหญ่หนีไม่พ้น เก็บไม่มิด กิเลสออกมาน่ากลัวเห็น
แต่สำหรับหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ผมยอมรับ 6 ปีนี่ไม่เคยเจอเลย ผมพยายามจับลักษณะกิเลสครอบงำท่านน่ะ มีแต่คุณธรรม มีแต่ความเมตตาปราณีแก่ศิษยานุศิษย์ที่เข้าสู่สำนักอยู่ตลอดเวลา ไม่มีตรงไหนซึ่งเป็นที่น่าติง ยิ่งวินัยละก็ยอดเยี่ยมครับ ยอดจริง ๆ ผมจึงยอมรับว่า พระในประเทศไทยนี่ ผมเคยไปอยู่หลายองค์หลายแห่ง ซึ่งเขาร่ำรือแล้ว ไม่ถูกใจเหมือน หลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระ ไปอยู่ไม่กี่วันกิเลสมันออกมา ทีละตัวสองตัว มีหลวงปู่มั่น ภูริทัตตเถระองค์เดียวซึ่งผมยอมรับว่า ประเสริฐที่สุดครับ ละผมก็วนเวียนอยู่ในคณะลูกศิษย์ของท่าน หากในเมื่อไม่มีท่านแล้วนะครับ 12 ปี ครับ ศึกษาอยู่ในนั้น
ทีนี้ ผมจะเล่าเรื่องแปลก ๆ อะไรให้ฟัง บรรดาพวกท่านทั้งหลายก็อาจจะได้ยินมาแล้วก็อาจจะเป็นได้ หรืออาจจะยังไม่ได้ยินก็มีนะครับ ผมอยากจะเล่าเรื่องแปลกอันหนึ่งให้ฟังว่า ผมไปที่ไหนก็แล้วแต่ ครูบาอาจารย์มักจะเทศน์ให้ฟังเสมอว่า ของจริง อยู่เหนือสมมุติ อยู่เหนือบัญญัติ
ถ้าอันใดยังอยู่ในสมมุติบัญญัติ อันนั้นยังไม่ใช่ของจริง แหมอันนี้ผมรู้สึกว่าไปที่ไหนก็ได้ยินได้ฟังเข้าหู ตลอดเวลาว่า เอ๊ะ ทำไมครูบาอาจารย์ถึงพูดว่า ของจริงหรือธรรมมะขั้นอุกฤษฎ์หรือ ขั้นสูงเนี่ยต้องอยู่เหนือสมมุติบัญญัติ
ถ้าอะไรยังอยู่ในสมมุติบัญญัติ อันนั้นยังไม่จริง สิ่งที่เราจะรู้จริง ๆ มันต้องเหนือสมมุติบัญญัติ
ผมได้ยินมาตั้งแต่ยังเป็นสามเณรจนถึงปัจจุบัน เป็นเวลา 42 ปี ครับได้ยินอยู่อย่างนั้น แต่ทำไมทิฐิมานะของผมไม่ยอมรับว่าคำพูดนี้ถูกต้อง ผมอยากจะอาราธนาท่านผู้รู้ทั้งหลาย วิเคราะห์พิจารณาว่า คำพูดอันนี้ถูกต้องละหรือ จริงละหรือ ผมอยากอาราธนานิมนต์ท่านผู้รู้ทั้งหลายได้พิจารณา เพื่อเราจะได้พิจารณาดูว่า หากในเมื่อ คำพูดนี้ไม่จริง เราก็จะได้ไม่พูดต่อไป หรือหากเห็นว่าคำพูดนี้จริง เราก็จะได้พูดต่อไป
ส่วนใหญ่อะไรก็แล้วแต่ มักจะจำคำพูดผู้อื่นไปพูด ด้วยการขาดการไตร่ตรองพิจารณา หรือหากว่าผมนี่มันผิด หรือผู้พูดทั้งหลายเหล่านั้นผิด ผมอยากให้ผู้รู้ทั้งหลายพิจารณาดู ผมเองบำเพ็ญมา 42 ปี ในระหว่าง 10 ปี ตัดสามเณรออก จนเป็นพระ ผมมีความพยายามมากแทบจะไม่พูดกับใครนอกจากครูบาอาจารย์
ผมมีความพยายามสูง ดำเนินของผมทุกลมหายใจเข้าออก มีสติสัมปชัญญะ อยู่ตลอด ทุกกิริยาอาการผมกลั่นกรองอย่างดี ผมไม่เคยเผลอเลอเผลอตัวดำเนินอยู่ถึง 10 ปี จนกว่าผมจะบังคับจิตของผมนี่ยอมรับสภาพความเป็นจริงได้
จนผมเกิดความสบาย สามารถปล่อยวางอะไร บางสิ่งบางอย่างได้ แต่ผมรู้สึกจะสูขนัก แต่ผมก็สบายเหลือเกิน ดีเหลือเกิน แล้วผมก็ติดตามคำพูดคำนี้มาเสมอว่า เท่าที่ผมบำเพ็ญมาถึงเท่าทุกวันนี่แหล่ะ ผมก็ทดสอบเสมอว่า ไอ้ของจริง ๆ ที่มันอยู่เหนือสมมุติบัญญัติมันคืออะไร
ผมก็ติดตามคำพูดนี้เรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน ยิ่งลึกเท่าไร ยิ่งเห็นเท่าไร ผมก็ยิ่งไม่เชื่อคำพูดนี่ว่ามันถูก ผมเชื่อคำพูดนี่ว่ามันผิด คงจะเผลอพูดโดยการพูดต่อ ๆ กัน ด้วยการขาดการพิจารณาไตร่ตรอง ทำไมถึงเป็นยังงั้น อะไรครับ มันเกินสมมุติบัญญัติมันคืออะไร ผมก็อยากจะทราบว่า อะไรกันแน่ การบำเพ็ญเบื้องต้น นะครับ ไอ้ของจริงคืออะไร
ของจริงก็คงจะเกินสภาพความเป็นจริงไปไม่ได้ครับ แต่เวลานี้ เรารู้เราเข้าใจ ฝืนสภาพความเป็นจริง สภาพความเป็นจริงของเขาเป็นอย่างนี้ แต่มันมองฝืนไปอย่างนั้น นี่มองฝืน ไม่ใช่เรามอง กิเลสมันมองนะครับ ถ้าธรรมมะมองมันมองไปอีกมุมนึง กิเลสมันมอง มันมองไปอีกมุมนึง มันคนละมุมกัน กิเลสมันมองเป็นไง มองไปเพื่อความสวยงาม เพื่อความน่ารัก
แต่ธรรมมะมองไป เข้าสู่ไตรลักษณ์ สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา และสภาพของความไม่สวยไม่งาม ไม่น่ารัก ไม่น่าใคร่ มันสุดแท้แต่กิเลสนำพา มันสุดแท้แต่ธรรมมะนำพา นะครับ
หากในเมื่อพวกเรายังหลง สิ่งเหล่านี้ตามรูปของกิเลส
มันหลอกให้ชวนดู เราก็ไม่มีโอกาสจะเห็นของจริงได้ คำว่าของจริงคือไตรลักษณ์ สภาพของความไม่เที่ยงคือทุกข์ก็คือตัวของเราเอง เอาตัวของเรามาว่ากัน แล้วค่อย ๆ เคลื่อนไปหาผู้อื่น สัตว์อื่นหรือวัตถุอื่น ต้องให้เห็นอันนี้ แต่ไม่ใช่มาเห็นด้วยสัญญา รู้ด้วยสัญญา เห็นด้วยใจยอมรับสภาพจริง ๆ ลองดูซิ เนี่ยมันเห็นดู แล้วสิ่งที่มันเห็นสิ่งที่มันยอมมันเหนือสมมุติหรือ
มันไม่เหนือครับ มันก็คือสมมุติบัญญัตินั่นแหล่ะ แต่ว่าเราต้องเข้าใจตามสภาพความเป็นจริงของเขา แต่เข้าใจนี้ไม่ใช่ว่าเราคำนวณเอาเราเดาเอา จิตของเรายอมจริง ๆ แต่เวลานี้รับรองว่าพระคุณเจ้าทั้งหลายนี่รู้ทุกองค์ สภาพของความไม่เที่ยงเป็นทุกข์เป็นอนัตตา หญ้าปากคอก พูดกันติดปากติดคอ แต่ใจของพระคุณท่านยอมรับละหรือ ว่าสภาพอันนี้มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์เป็นอนัตตา ยอมรับหรือยัง นี่ละครับสำคัญ ฉะนั้นพระกรรมฐานทั้งหลายนี่ มุ่งให้จิตยอมรับ จึงได้หาอุบายวิธีรอบด้าน
การบำเพ็ญเพื่อสร้างตปธรรมขึ้นมาครอบคลุมจิต แม้นว่าจะเห็นสิ่งต่าง ๆ อันที่จะก่อให้เกิดความเศร้าสลด น้อมนำมาพิจารณา ยัดเหยียดให้จิตยอมรับ เอาไปเรื่อย ๆ แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้นในโลก ในยุคสมัยที่บำเพ็ญอยู่ อย่างผมเป็นต้นพยายามอยู่ตลอดเวลา สร้างอำนาจส่วนบังคับขึ้นมาตลอดเวลา จนคุมจิตของตัวเองนี่ ให้อยู่ในที่ตั้งนี่ได้อย่างสมบูรณ์ โอกาสจิตและสติจะหนีหน้าอำนาจส่วนบังคับไปต่อลมสัญญาภายนอกนั้น ยากมากครับ
ภายใน 24 ชั่วโมง ทุกอย่าง คุมแจเลย แม้ว่าการลุกเหินเดินนั่ง ก็ไม่ได้ขาดสติสัมปชัญญะ จะลุกขึ้น จะนั่งลง มองซ้ายแลขวา หยิบยกของวางของทั้งสิ้น ต้องกลั่นกรองพิจารณา ญัตติเข้าสู่คำว่า เราเป็นสมณะ กิริยาอาการแสดงออกนั้นนี่เหมาะกับการเป็นสมณะหรือลูกพระตถาคตนั้นจะเป็นอย่างไร ลุกอย่างไรถึงจะสวยงาม ไม่กระเปิ่งกระป่างจนน่าเกลียด หยิบของวางของ หยิบขึ้นมาวางยังไงไม่ให้ดังเนี่ย จะทำอย่างไง ทุกกิริยาอาการนะครับ
แม้แต่การพูด ถึงแม้ว่าจะมีความรู้สึกทุกข์ขึ้นมาต้อง ใช้สติยับยั้ง พิจารณาซะก่อนว่า ที่มีความรู้สึกวูบขึ้นมา ที่จะให้เราพูดหรือแสดงนั้น เป็นไปเพื่อผลดีหรือผลเสีย เราต้องมากลั่นกรองเสียก่อนอย่างละเอียดละออ ดีแล้วจึงได้แสดงออก เพียงอารมณ์วูบเดียวนี่ปล่อยไม่ได้ครับ ต้องกลั่นกรอง ทำอยู่อย่างนี้ครับ
ตลอด 10 ปีบริบูรณ์ จิตจำนนอำนาจส่วนบังคับ ยอมรับ โอปนยิกธรรมสิ่งทั้งปวงเข้ามา เรื่องลักษณะไตรลักษณ์ยอมรับราบคาบ จิตยอมรับสภาพความเป็นจริง จิตเปลี่ยนความรู้สึกไปเสียแล้วครับ ไม่เหมือนเดิมสำหรับคนละอีก มองความเป็นอยู่ในโลกนี้
อยู่ในโลกนี้ไม่เหมือนเดิม คือไม่มีความสุข ไม่ดูดไม่ดื่ม กิเลสทั้งหลายซึ่งเข้ามาแทรกนำพาให้เรามอง
สิ่งเหล่านี้เป็นไปตามรูปของกิเลส คือ สวย งาม ดี อะไรเหล่านี้ โอกาสที่เขาจะมาแทรกรุจหน้าเรานั้นรู้สึกว่า หยุบตัวลงไป ไม่ปรากฏขึ้นมา ครับ
ช่วงระยะนั้นขึ้นมาถึง 10 ปี อันนี้เล่าถวาย หรือจะมองในรูปให้มันหนักขึ้นไปกว่านั้นอีกว่าอะไรหรือ ซึ่งมันเกินสมมุติบัญญัติ
นะครับ กามภพชั้นหยาบๆ ซึ่งพูดกันอยู่นี้ เราสามารถแก้ไขได้จิตถึงจะมุดเข้าสู่สมาธิ 3 ฐาน เบื้องต้น ท่ามกลาง ที่สุด ถึงอัปนาสมาธิได้อย่างละเอียดละออนั้น มันต้องรู้จักกามภพชั้นหยาบ ๆ อย่างละเอียดละออ ให้จิตยอมรับก่อน ถูลู่ถูกังเราจะดันเข้าสู่กามภพชั้นละเอียดไม่เดินตามวัตรตามตอนเขาเนี่ย เป็นไปได้หรือ อันนี้ละครับ โผงผางเข้าไปดันกันเลยผมว่าคงยาก
เพราะนั้นต้องเดินไปตามแถวตามแนวของเขา ครับเขามีกฎเกณฑ์อยู่แล้วแน่นอน ต้องรู้กามภพหยาบ ๆ มนุษย์หยาบ ๆ ของหยาบ ๆ ที่เห็นด้วยตาเนี่ย ชัด ๆ อยู่แล้วเนี่ย เราจะมองสภาพความเป็นจริงของเขา ยังไม่ได้ถูกต้องตามความเป็นจริงแล้วนี่นะครับ ไอ้เรื่องสมาธิกามภพขั้นละเอียดๆ ซึ่งจะเข้าไปสู่สมาธิ 3 ฐาน แต่ละฐานนั้น เป็นไปได้หรือ
และ สมาธิ 3 ฐาน 3ระดับนั้นไม่ใช่สมมุติหรือ ก็คือสมมุติ ถ้าไม่สมมุติทำไมถึงจะรู้ ทีนี้ ขณิกะ อุปจาร อัปนา เราจะรู้ได้อย่างไร นะครับ หรือจะไล่ให้ลึกเข้าไปอีก รูปภพ อรูปภพ มันก็สมมุติมาหมดแล้ว นะครับ
สัญญา เวทนะ จิตตะ นิโรธ ก็สมมุติมาแล้ว มรรคญาน ผลญาณ ความเป็นอยู่ของ ชั้นมรรคผล หรือ นิพพาน ตามรูปลักษณะความเป็นอยู่ อารมณ์ทุกอย่าง สมมุติมาแล้วครับ
สมมุติไม่ใช่เป็นพระไตรปิฎกหรือครับ อะไรสิ่งที่มนุษย์ไปเห็นแล้วเนี่ย ไปสมมุติบัญญัติได้ยังไง นะครับ สิ่งปุถุชนไปเห็นมาก็สมมุติ แม้ว่าไปสู่ดาวพระจันทร์ ไปได้จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ยังสมมุติเป็นห้วย หนอง บึง คลอง เป็นชื่อเป็นนามมาเลย นะครับ
แล้วบรรดาผู้เป็นลูกของศาสดาสาวกทั้งหลายไปเห็นก็สมมุติมาแล้ว พระศาสดาไปเห็นละเอียดละออก็สมมุติมาหมด อะไรครับมันอยู่เหนือสมมุติบัญญัติผมไม่ทราบเหมือนกัน ขอให้เรารู้เท่า ขอให้เราเข้าใจความเป็นจริงของสภาพทั้งหมด อย่าไปหลง อย่าไปหลงนั่นสุข นี่สุข อย่าไปยึดเอาสุข อย่าไปยึดเอาทุกข์ ยึดแบบไหน เราก็ดูเองในเบื้องต้นก็ได้นะครับ ปลายมือก็เหมือนกันกับเบื้องต้น ไม่แตกต่างกัน
ในเบื้องต้นความสุขของมนุษย์ เราไปยึดไปหลงในความสุขของมนุษย์ เพลิดเพลินในความสุขของมนุษย์ อยากเอาความสุขแบบโลกีย์สมบัติมาเป็นความสุขของเรา เนื่องจากว่าเราหรือกูนี่มันยืนอยู่ ก็อยากจะดึงสิ่งทั้งปวงมาให้เรา ไม่อยากให้ใครดูถูกเรา อยากให้เขาชมเราอะไรอย่างนี้เป็นต้น
ลองดูให้ดี ๆครับ มองดูให้ดีดี อ่านให้ดีดี ให้ละเอียดละออ อันนั้นล่ะครับ เรามักจะมองในรูปแบบนี้ เป็นอย่างนี้ ความจริงเราน่าจะมองในรูปของธรรมมะให้มันหนักเข้าไปอีกว่า สภาพของความเป็นจริงนั้นคืออะไร ให้มันชัดเจน
เราเวลานี้มันพูดได้ทั้งนั้น ทุกองค์พูดได้ แต่ว่าใจยอมรับแล้วหรือยัง สภาพความเป็นจริงอันนั้น ลองให้ใจยอมรับดูซิครับ ผมว่าแน่นอน แต่ถ้าที่จริงเรา อย่างว่าล่ะครับ เวลานี้เราไม่ใช่ตัวของเรา กิเลสเป็นเจ้านายเรา ทุกอย่างเวลานี้เราอยู่ได้ด้วยอำนาจของกิเลส หรืออยู่ด้วยอำนาจโลกธรรม หรือจะเรียกว่าอยู่ด้วยอำนาจของประสบการณ์
สุดแท้แต่ว่าประสบการณ์ทำให้เราหัวเราะเราก็หัวเราะ ประสบการณ์หรือเหตุการณ์ทำให้เราร้องไห้เราก็ร้องไห้ เราไม่ได้เป็นตัวของเรา อะไรมันหัวเราะร้องไห้ก็กิเลสมันหัวเราะร้องไห้ เราไม่ใช่ตัวของเรา เราไม่ได้เป็นไท เวลานี้กิเลสมันเป็นเจ้านายเรา เพราะนั้นมองรูปต่าง ๆ นั้น จึงได้มองเพื่อความสวยความงาม เพื่อจะดึงสิ่งต่าง ๆ มาเพื่อเราเพื่อกู เพราะความเข้าใจไม่ถูกต้อง กิเลสทั้งหลายเหล่านั้นมันจูง และกิเลสทั้งหลายเหล่านั้นมันบัง มันบังจนมองสภาพความเป็นจริงไม่เห็น จึงทำให้เราเนี่ยหลงความเป็นอยู่ในโลก และการหลงอันนี้แหล่ะ มันจะต้องมาเกิด การเกิดอันนี้แหล่ะเราจะได้มาประสบ ความทุกข์ทั้งหลายทั้งปวงอย่างที่เราเป็นอยู่
ถ้าเราเข้าใจสิ่งเหล่านี้แล้วอะไรครับมันจะชวนเรามาเกิด เพราะสภาพความเป็นจริงมันเห็น ตัวภพตัวชาติมันเป็นอย่างนี้อย่างนี้ อะไรล่ะครับจะชวนเรามา เกิดแล้วก็ตายเกิดแล้วก็ตาย มาจะต้องมาเผชิญความทุกข์อย่างนี้อย่างนี้ ถ้าเรามีรูปธรรมมะสักนิดนึงเป็นหลักยืนเข้าไปวิเคราะห์ละก็รับรองได้ ไม่เห็นน่าอยากจะมาเกิดอะไรเลย
แต่วันนี้เราดูซิครับ กิเลสมันเป็นเรา เราไม่ได้เป็นตัวของเราเอง กิเลสมันนำพาเราเหลือเกิน เราก็ยอมเป็นทาสของกิเลส นะครับ ก็มองไปตามรูปของกิเลส ไม่ปฏิวัติทวนกระแสกัน ให้มันเอากันจริงจังกันซะทีซิ ปฏิวัติกันจริงจัง เอากันจริง ๆ อุบายวิธีต่าง ๆ ที่จะดำเนิน ที่จะเอาชัยชนะต่อกิเลสเหล่านั้นทำอย่างไร นะครับ
อุบายวิธีทำสมาธินั้น ๆ จนกว่าจิตของเราจะยอมรับสภาพความเป็นจริง แค่ 3 อย่าง สภาพของความไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา แค่นี้ล่ะครับ ประตูที่จะเจาะเข้าไปหาธรรมมะขั้นละเอียดนั้น จะโล่งวูบขึ้นมาทันที แต่เวลานี้เรามันเจาะไปไม่ได้ ทำไม ความเคยชินของกิเลสซิครับ เพราะจิตของเราไม่ได้เกิดชาติเดียวนะครับ มันเกิดมากี่ล้านกี่โกฏชาติแล้วครับ และความเป็นอยู่อย่างนี้อย่างนี้มันเป็นอย่างนี้ ความเกี่ยวข้องในระหว่างเพศตรงข้ามแต่ละชาติมันเป็นอยู่อย่างนี้ มันชินอยู่อย่างนี้ ไอ้สิ่งที่มันชิน ๆ อันนี้ละครับมันแกะไม่ออก เพราะมันเคยมา
อย่าไปว่าประสาอะไรแค่นี้ครับ แค่อาหาการบริโภคที่เราเคยขบฉัน หรือบริโภคตั้งแต่สมัยเราเป็นฆราวาส สุดแล้วแต่เราอยู่ในภูมิภาคไหน เคยกับอาหารอะไร พร้อมทั้งหูด้วย เคยได้ยินมาในรูปแบบไหน อย่างอื่นนั้นถึงแม้ได้ยินก็ดี หรือถึงแม้จะได้ลิ้มรสก็ดี ความซึ้งยังไม่สมบูรณ์ แต่ถ้าไปเจออย่างที่เราได้ยินมาแล้วเราจะซึ้ง
แค่ปัจจุบันนั้น ที่เขาสั่งสมกันมามันยังติดขนาดนี้ ส่วนความเป็นมาทุกภพทุกชาติน่ะมันยากที่จะแก้ไขได้ ถ้าเราไม่เอาจริง ๆ นะครับ อันนี้ผมว่าอย่างนั้น เพราะนั้นผมอยากจะอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย ซึ่งเป็นผู้มีเวลาอันสั้น หมายความว่า เวลาที่จะบำเพ็ญอย่างนี้อย่างนี้น่ะ โอกาสอย่างนี้อย่างนี้ น้อยเหลือเกินครับ
ในเมื่อพระคุณเจ้ามาได้โอกาสอย่างนี้นั้นผมว่า ไม่ควรคุยกะเล่น ไม่ควรยอมกัน ไม่ควรตลกโปกฮา ควรตั้งสติสัมปชัญญะ 24 ชั่วโมง อย่างตั้งใจ ชั่วระยะเวลาเราแค่ 15 วันนะครับ ต้องเอาจริง ๆ กำหนดอยู่ทุกระยะ เราจะลุกจะเหินจะเดินจะนั่งจะพูดจะคุยอะไร ต้องมีสติเข้าครอบคลุม กลั่นกรองวิเคราะห์ทุกสิ่งทุกอย่างให้เรียบร้อยแล้วค่อยปล่อยออกมา
ในเมื่อไม่จำเป็นละก็คุมเอาไว้ พยายามตั้งสติคุม ให้ทำอยู่อย่างนี้เสมอนะครับ ผมคิดว่า คงจะได้ผลมั่งนะครับ อันนี้ผมเล่าสู่ฟังกันอย่างนั้น ผมคุยไปรู้สึกมันยาว ผมก็รู้สึกมีความละอายตัวเองมาก ตัวเองไม่ใช่นักพูด พูดไม่เก่งด้วยและครูบาอาจารย์เหล่านี้คือ พระไตรปิฎกเคลื่อนที่ ผมถวายในเรื่องอุบายวิธีในเบื้องต้น ที่จะให้เราเข้าใจในเรื่อง กามภพชั้นหยาบๆ
เรื่องของมนุษย์หยาบ ๆ เห็นด้วยตาแม้แต่ภายในของเราก็เห็น สิ่งที่เราเข้าไปในปากเราเป็นอย่างไร แล้วตื่นเช้ามาเป็นยังไงเราก็เห็น ไอ้ของที่เราเห็น ๆ ทำไมมันจึงหายไปเสีย ทำไมไม่มองเข้ามาในสภาพอันนี้ ให้มันชัดเจนเข้าไป ว่ามันสวยงามจริงไหม เพราะสิ่งมาหล่อเลี้ยงเขาเป็นอย่างนี้อย่างนี้ มันสวยงามจริงหรือ อะไรเหล่านี้
ตลอดคนตาย คนเจ็บ คนป่วยก็เห็น แล้วมันหายไปไหน ดึงเข้ามาให้มันเป็นอารมณ์ไว้ เอาเข้ามาสอนจิตเรา ครับระยะช่วงปัจจุบันนี้ไม่ยาวเลย พยายามทำอยู่เสมอ ให้มันได้ 24 ชั่วโมง ผมคิดว่า จิตคงจะยอมรับสภาพความเป็นจริง ถ้าจิตยอมรับสภาพความเป็นจริง กับความรู้โดยสัญญากับเรื่องจิตยอมรับคนละแบบกัน ความเปลี่ยนแปลงความรู้สึกของจิตจะเปลี่ยนแปลงมาก
เพราะนั้นผมขออาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย ที่ได้โอกาสอันดีแล้วมาบำเพ็ญกัน ณ สถานที่นี้ ขอให้ตั้งอกตั้งใจ อย่าไปมัวคุยกัน ฟุ้งซ่านนะครับ การคุยกันทำให้ฟุ้งซ่าน ต้องตะล่อมจิตให้อยู่ในวงแคบตลอดเวลา ต้องตะล่อมเอาไว้ ให้อยู่ในวงแคบ ตลอด 24 ชั่วโมง ครับ จะไปไหนมาไหนต้องควบคุม อย่าเผลอครับ ผมคิดว่าคงจะได้ผลบ้างพอสมควร ถ้าไม่ตั้งใจจริง ๆ ละก็ผมว่าลำบาก
ผมเองก็บำเพ็ญมา 10 ปี เต็มบริบูรณ์ แทบจะไม่สนใจอะไรทั้งสิ้น ผมจึงค่อยมองเห็นลักษณะหน้าตาเขาว่าอ่อจิตยอมรับสภาพอันนี้แล้ว โฉมหน้าของธรรมมะที่ผมต้องดำเนินผมเห็นชัดเลยจริง ๆ ลุยกันตั้งแต่นั้นมาจนถึงปัจจุบัน รวมแล้วเวลาของผมที่ดำเนินมา 42 ปีครับ ไม่ใช่เบา ผมก็ได้แค่ผลนั้น ผมอวดตัวผมได้นะครับ บางคนว่าไม่ต้องอวดก็ได้
ผมได้แต่ผมซาบซึ้งในคุณธรรม ไม่มีอะไรเทียบหรอกครับ สมบัติอะไรในโลกจะมาเทียบเท่าไม่มี ผมขออุทิศชีวิต ขอถวาย หากในเมื่อความดีอันนี้สลายไป ผมตายดีกว่า ผมขอบูชาด้วยการประพฤติทุกอย่าง เพื่อเป็นการบูชาประคองความดีอันนี้เอาไว้ และความดีใดยังไม่เกิดผมไม่ถอยครับ ผมลุยของผมอยู่ทุกวัน พาพระเณรของผมลุย เพราะผมซาบซึ้งในคุณความดีอย่างที่สุดครับ
ผมว่าถ้าหากว่าพระคุณเจ้าทั้งหมดก็เช่นกัน ดูครั้งสมัยพุทธกาลซิ ผู้สำเร็จธรรมตามพระพุทธเจ้า ขอทานก็มี เศรษฐีก็มี มหาเศรษฐีก็มี คหบดีมหาศาล พระมหากษัตริย์ก็มี ไม่เห็นมีใครถอยหลงสักองค์เดียว เพราะนั้นสรุปแล้วธรรมมะเป็นของประเสริฐครับ ผมเองผมก็เชื่อเพราะผมได้นิดนึง ซาบซึ้งเหลือเกินเวลานี้
เพราะนั้นผมจึงอยากอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าทั้งหลาย ที่ดำเนินนี้ ให้ดำเนินเข้าไปเถอะครับ แต่ความรู้ผมยอมรับว่ารู้ แต่ธรรมมะที่เข้าไปถึงนี่ ผมยังไม่ยอมรับพระคุณเจ้าทั้งหลายเข้าถึงบ้างไหม ผมจึงอยากอาราธนานิมนต์พระคุณเจ้าให้ตั้งใจประพฤติปฏิบัติ ในโอกาสมาบำเพ็ญนี้เวลาสั้นแค่ 15 วัน ให้ได้คุณธรรมกลับไปบ้างเถอะครับ ผมขออาราธนานิมนต์ ผมคุยมาก็ยาวเกินไปครับ ผมก็ขอยุติแค่นี้ครับ
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:10
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
บทความพิเศษ...สมาธิ 3 ระดับ
สมาธิ 3 ระดับ
ถ้าไปคิดอย่างนี้เรียกว่า ผู้หวังผล ไม่ใช่ผู้มองเหตุ จิตก็ยิ่งฟุ้งซ่าน นิ่งไม่เป็น ทำไม่รู้ไม่ชี้ ทำเรื่อยไป นั่นแหล่ะจะเป็นไวที่สุด อารมณ์จะกลมกล่อมที่สุด เป็นไวที่สุด อันนี้เล่าสู่ฟัง ทีนี้อาตมาจะต่อเติมของเก่าซ้ำอีกทีหนึ่ง ให้พวกเราได้เข้าใจ ขอเวลาอีกสักนิดนึง ไม่ยาว การเข้าสมาธิหรือการทำสมาธินี่ประเสริฐ ไม่มีอะไรเทียบได้ อาตมาเคยอ้างเสมอว่าอริยะชน
ในครั้งสมัยนั้น มีพระพุทธเจ้าเป็นประมุข ซึ่งพระองค์เองก่อนที่จะตรัสรู้ธรรมนั้น พระองค์ยังนึกอะไรต่าง ๆ นานัปการ เวลาหิวก็นึกถึงอาหารอันโอชาที่สนมกำนัลในนำมาถวาย ในคราวที่อยู่เปลี่ยว ๆ เกิดเศร้า ๆ ก็นึกถึงยโสธราคู่ใจ อันนี้อยู่ตลอดเวลา มามองถึงสิ่งเหล่านี้นั้นเป็นความสุขอันประเสริฐ การเสวยพระกระยาหารก็ดี การเกี่ยวข้องกัยยโสธราก็ดี สิ่งเหล่านี้ประเสริฐ อยู่อย่างนี้ตลอดเวลา จนกระทั่งพระองค์ตรัสรู้ธรรมแล้วจึงได้มองเห็นว่าสิ่งเหล่านี้ไม่ใช่ความสุข เป็นเรื่องของความทุกข์ ไปยึดเอาความทุกข์มาเป็นความสุขเท่านั้น มีอยู่อย่างนั้น แกละพระองค์ไม่เคยมองสิ่งเหล่านั้นประเสริฐกว่าธรรมมะ ธรรมมะประเสริฐกว่าสิ่งเหล่านั้น พระองค์อยู่ในธรรมมะของพระองค์ท่านตลอดชีวิต บรรดาพระอริยะเจ้าทั้งหลายที่ตรัสรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้านั้น ขอทานก็มี เศรษฐีก็มี มหาเศรษฐีก็มี คหบดี คหบดีมหาศาล สารพัดทุกอย่าง กษัตริย์ มหากษัตริย์ ตรัสรู้ธรรมตามพระองค์ แต่ละท่านนั้นไม่มีถอยหลัง ไม่มีถอยหลังเด็ดขาด ดื่มด่ำอยู่ในธรรมมะของแต่ละท่านตลอดชีวิตของแต่ละองค์ ซึ่งเป็นอยู่อย่างนั้น ไม่เคยปรากฏว่าถอยหลังออกมา นอกจากปัจจุบันนี้แหล่ะอรหันต์สมัยใหม่ สมมุติตัวเองมาหลอกหลวงชาวโลกเขา เออว่าฉันเป็นพระอรหันต์ แต่ยังประพฤติเลวทรามนานัปการนั้น เราอย่าไปเชื่อถือ เราเอาครั้งสมัยพุทธกาลเป็นเกณฑ์ นึกถึงพระพุทธเจ้าเป็นเกณฑ์ เราไม่ต้องยึดใครเป็นครูอาจารย์ ยึดพระพุทธเจ้าดีหว่า เป็นหลัก เพราะนั้นขอให้พวกเราเข้าใจนี้
เพราะนั้นการทำสมาธินั้นประเสริฐเลิศหาที่สุดมิได้ จะเอาเพียงแค่นิด ๆ มาเล่าสู่ฟัง ขอเวลาอีกนิดนึงนะ เอาแค่ขณิกะสมาธิเนี่ย นะ ถ้าเราทำสมาธิตะล่อมจิตให้อยู่ในวงแคบ เอาพุทโธเป็นคู่ของใจอยู่เสมอ พุทโธ พุทโธ ทำอยู่เสมอ เสมอ ตะล่อมอยู่ในวงแคบนี่ เอาแค่ตื้น ๆ ภพเบื้องต้น นิดเดียงนั่นเอง เอาแค่เข้าสู่ขณิกะสมาธินี่ จะซาบซึ้งที่สุด ดีที่สุดไม่มีอะไรเทียบ แต่ขณิกะนี่ไม่พ้นเสียงนะ เสียงได้ยินอยู่แต่ไม่รำคาญ ถ้าเสียงดัง ๆ ฟาดเปรี้ยงลงเนี่ยวูบขึ้นมา แต่ประคองลงได้ แต่ไม่พ้นเสียง แต่ประคองได้ แต่ความสุขเป็นอย่างไร โอ้โห ซาบซึ้งเหมือน ๆ ได้ยาทิพย์ชโลมไปทั้งตัว นั่งสามสี่ชั่วโมงสบาย ๆ ไม่มีทุกข์ ไม่กดไม่ดัน ไม่กดไม่กั้น ไม่มีอะไร มีแต่ความสุข ยาทิพย์ชโลมไปหมดทั้งตัวทุกเส้นทุกเอ็น สลายมีความสุขเหลือประมาณที่สุด อยากให้ลองดูซิ ได้แค่นี้จะได้มองเห็นหน้าเห็นตาของความสุข มาจากบรมสุข ไม่ใช่สุขเจืออภิราคะ เป็นความสุขแบบบรมสุข สุขจากใจจริง ๆ สุขจากความสงบ อยากให้ลองดู อยากให้ลองดู่แค่นี้ ประเสริฐที่สุดแล้ว ประเสริฐจริง ๆ ในเมื่อถอนสมาธิออกมาแล้ว รู้จักอกเขาอกเรา มีความเมตตาอารีย์ต่อผู้อื่น แม้นว่าเราจะดุเขาบ้างเราจะทำอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง จุดเป้าหมายของเรามุ่งเพื่อธรรม ไม่ได้ทำเพื่อความฉิบหายตายโหง ทำเพื่อจะสงเคราะห์ ทำเพื่อจะนำพาเข้าสู่ธรรมมะ ไม่ได้ทำเพื่อประชดประชัน ไม่ได้ลุอำนาจกิเลสตัณหาเข้าประหัตประหารทำลายผู้อื่น ไม่ใช่อย่างนั้น มุ่งเพื่อธรรมเป็นใหญ่ อันนี้เป็นอย่างนั้น มีความเมตตาอารีย์จริง ๆ ถ้าเขาต่อยนิดนึง
ถ้าเราสามารถทำสติให้สูงขึ้น ในการที่สองอย่างสมบูรณ์ เราตะล่อมจิตเข้าสู่สมาธิลำดับที่สองได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อเข้าไปแล้วเป็นไง โอ้โห เอาแค่ประตูกำลังไต่เข้าไปไต่เข้าไปนี่นะ ก็น่าดู เรานั่งเนี่ยเหมือนกับว่า จะเหาะ จะลอย ขึ้นเลยนะ เหมือนเราไม่ได้นั่งที่พื้นนั้นเลยนะ เหมือนลอยอยู่บนอากาศ เบา หู ตา กาย จิต จะเบา ใจจะเบา เหมือนจะเหาะจะลอย เดินจงกรมก็เหมือนเราไม่ได้เหยียบลงไปที่พื้น เราก้าวไปมันหมดความรู้สึก มันเหมือนลอยไปลอยมา อันนั้นที่ว่าจวนเข้าจวนเข้าประตูแล้ว ประตูอุปจาระ อันนี้เข้าไปแล้ว เริ่มเข้าไป พอไปถึงประตูจริง ๆ เสียงจะหมดวูบลงไป หมดลงไปเลย พอเข้าไปถึงแล้วนี่ โอย อันความสุขทั้งหลาย ปิติ อำนาจทั้งหลายรวมตัวอยู่ที่นี่หมด ฐานนี้เป็นฐานอำนาจ ฐานกำลัง แม้นว่าจะเล่นฤทธิ์อะไรได้ทั้งนั้น ต้องการอะไรได้ทั้งนั้น อย่าว่าเลยแค่อะไรคนพูดนี่ อุ๊ยมาที่นี่ใหม่ ๆ เอาไงล่ะ เล่นฤทธิ์ถึงขนาดไหนหนอ เออ คนเก่งหน่อยก็ไล่ผีสะบั้น อะไรต่ออะไร สารพัดทุกอย่าง โอทำน่าดูก็แล้วกัน นี่เอามาจากฐานนี้ ฐานนี้ล่ะสำคัญ แต่แล้วจะได้มาวิชชาต้น บุพเพนิวาสานุสติวิชา เราเป็นใครมาจากไหน ระลึกชาติหนหลังถอยได้เรื่อย ๆ ๆ เพราะตอนนี้ไม่มีเสียงภายนอกกวน เป็นเรื่องของจิตกับสมาธิเข้าไปคุมกัน ความรู้เกิดจากจิต ความเข้าใจเกิดจากจิต สามารถกำหนดถอยหลังรู้ชาติของตนเองได้ นี่ มันประเสริฐอย่างนี้หนา ประเสริฐจริง ๆ ลองไปถึงซี่ ลองไปถึงซี่ รับรองได้ไม่มีอะไรเทียบได้
อันที่สาม ถ้าเรารักษาสติการที่สองได้อย่างสมบูรณ์นะ เราจะเข้าสู่จุดนี้ลึกเข้าไปอีก เสียงไม่มี นิ่ง เงียบ ไม่ได้ยินประสาทสมองทีนี้ เรื่องของจิตโดยเฉพาะ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากญาณฌานแท้ ๆ แต่เป็นเพียงแค่อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่ฌานญาณ โอ้โหอันนี้ล่ะนะ ญาติโยมทั้งหลายเอ๋ย ถ้าผู้ใดเข้าไปถึงแค่สามอันนี้ ประเสริฐจะรู้ได้ซะด้วยนะ พวกเราเป็นใครมาจากไหน เป็นใคร เราจะเกิดความสงสารกันขึ้น ด้วยเบื้องหลังของเราที่มองเห็น เกี่ยวข้องกันมาอย่างไร เราถึงจะก้าวไปสู่อันดับนี้ได้ เล่าผลเสียก่อนจึงจะเล่าเหตุให้ฟังในวันพระต่อไป ก็ขอยุติแค่นี้ เราจะได้บำเพ็ญกัน
เพราะนั้นการทำสมาธินั้นประเสริฐเลิศหาที่สุดมิได้ จะเอาเพียงแค่นิด ๆ มาเล่าสู่ฟัง ขอเวลาอีกนิดนึงนะ เอาแค่ขณิกะสมาธิเนี่ย นะ ถ้าเราทำสมาธิตะล่อมจิตให้อยู่ในวงแคบ เอาพุทโธเป็นคู่ของใจอยู่เสมอ พุทโธ พุทโธ ทำอยู่เสมอ เสมอ ตะล่อมอยู่ในวงแคบนี่ เอาแค่ตื้น ๆ ภพเบื้องต้น นิดเดียงนั่นเอง เอาแค่เข้าสู่ขณิกะสมาธินี่ จะซาบซึ้งที่สุด ดีที่สุดไม่มีอะไรเทียบ แต่ขณิกะนี่ไม่พ้นเสียงนะ เสียงได้ยินอยู่แต่ไม่รำคาญ ถ้าเสียงดัง ๆ ฟาดเปรี้ยงลงเนี่ยวูบขึ้นมา แต่ประคองลงได้ แต่ไม่พ้นเสียง แต่ประคองได้ แต่ความสุขเป็นอย่างไร โอ้โห ซาบซึ้งเหมือน ๆ ได้ยาทิพย์ชโลมไปทั้งตัว นั่งสามสี่ชั่วโมงสบาย ๆ ไม่มีทุกข์ ไม่กดไม่ดัน ไม่กดไม่กั้น ไม่มีอะไร มีแต่ความสุข ยาทิพย์ชโลมไปหมดทั้งตัวทุกเส้นทุกเอ็น สลายมีความสุขเหลือประมาณที่สุด อยากให้ลองดูซิ ได้แค่นี้จะได้มองเห็นหน้าเห็นตาของความสุข มาจากบรมสุข ไม่ใช่สุขเจืออภิราคะ เป็นความสุขแบบบรมสุข สุขจากใจจริง ๆ สุขจากความสงบ อยากให้ลองดู อยากให้ลองดู่แค่นี้ ประเสริฐที่สุดแล้ว ประเสริฐจริง ๆ ในเมื่อถอนสมาธิออกมาแล้ว รู้จักอกเขาอกเรา มีความเมตตาอารีย์ต่อผู้อื่น แม้นว่าเราจะดุเขาบ้างเราจะทำอย่างโน้นอย่างนี้บ้าง จุดเป้าหมายของเรามุ่งเพื่อธรรม ไม่ได้ทำเพื่อความฉิบหายตายโหง ทำเพื่อจะสงเคราะห์ ทำเพื่อจะนำพาเข้าสู่ธรรมมะ ไม่ได้ทำเพื่อประชดประชัน ไม่ได้ลุอำนาจกิเลสตัณหาเข้าประหัตประหารทำลายผู้อื่น ไม่ใช่อย่างนั้น มุ่งเพื่อธรรมเป็นใหญ่ อันนี้เป็นอย่างนั้น มีความเมตตาอารีย์จริง ๆ ถ้าเขาต่อยนิดนึง
ถ้าเราสามารถทำสติให้สูงขึ้น ในการที่สองอย่างสมบูรณ์ เราตะล่อมจิตเข้าสู่สมาธิลำดับที่สองได้อย่างสมบูรณ์ ในเมื่อเข้าไปแล้วเป็นไง โอ้โห เอาแค่ประตูกำลังไต่เข้าไปไต่เข้าไปนี่นะ ก็น่าดู เรานั่งเนี่ยเหมือนกับว่า จะเหาะ จะลอย ขึ้นเลยนะ เหมือนเราไม่ได้นั่งที่พื้นนั้นเลยนะ เหมือนลอยอยู่บนอากาศ เบา หู ตา กาย จิต จะเบา ใจจะเบา เหมือนจะเหาะจะลอย เดินจงกรมก็เหมือนเราไม่ได้เหยียบลงไปที่พื้น เราก้าวไปมันหมดความรู้สึก มันเหมือนลอยไปลอยมา อันนั้นที่ว่าจวนเข้าจวนเข้าประตูแล้ว ประตูอุปจาระ อันนี้เข้าไปแล้ว เริ่มเข้าไป พอไปถึงประตูจริง ๆ เสียงจะหมดวูบลงไป หมดลงไปเลย พอเข้าไปถึงแล้วนี่ โอย อันความสุขทั้งหลาย ปิติ อำนาจทั้งหลายรวมตัวอยู่ที่นี่หมด ฐานนี้เป็นฐานอำนาจ ฐานกำลัง แม้นว่าจะเล่นฤทธิ์อะไรได้ทั้งนั้น ต้องการอะไรได้ทั้งนั้น อย่าว่าเลยแค่อะไรคนพูดนี่ อุ๊ยมาที่นี่ใหม่ ๆ เอาไงล่ะ เล่นฤทธิ์ถึงขนาดไหนหนอ เออ คนเก่งหน่อยก็ไล่ผีสะบั้น อะไรต่ออะไร สารพัดทุกอย่าง โอทำน่าดูก็แล้วกัน นี่เอามาจากฐานนี้ ฐานนี้ล่ะสำคัญ แต่แล้วจะได้มาวิชชาต้น บุพเพนิวาสานุสติวิชา เราเป็นใครมาจากไหน ระลึกชาติหนหลังถอยได้เรื่อย ๆ ๆ เพราะตอนนี้ไม่มีเสียงภายนอกกวน เป็นเรื่องของจิตกับสมาธิเข้าไปคุมกัน ความรู้เกิดจากจิต ความเข้าใจเกิดจากจิต สามารถกำหนดถอยหลังรู้ชาติของตนเองได้ นี่ มันประเสริฐอย่างนี้หนา ประเสริฐจริง ๆ ลองไปถึงซี่ ลองไปถึงซี่ รับรองได้ไม่มีอะไรเทียบได้
อันที่สาม ถ้าเรารักษาสติการที่สองได้อย่างสมบูรณ์นะ เราจะเข้าสู่จุดนี้ลึกเข้าไปอีก เสียงไม่มี นิ่ง เงียบ ไม่ได้ยินประสาทสมองทีนี้ เรื่องของจิตโดยเฉพาะ ปัญญาที่เกิดขึ้นมาจากญาณฌานแท้ ๆ แต่เป็นเพียงแค่อัปปนาสมาธิ ไม่ใช่ฌานญาณ โอ้โหอันนี้ล่ะนะ ญาติโยมทั้งหลายเอ๋ย ถ้าผู้ใดเข้าไปถึงแค่สามอันนี้ ประเสริฐจะรู้ได้ซะด้วยนะ พวกเราเป็นใครมาจากไหน เป็นใคร เราจะเกิดความสงสารกันขึ้น ด้วยเบื้องหลังของเราที่มองเห็น เกี่ยวข้องกันมาอย่างไร เราถึงจะก้าวไปสู่อันดับนี้ได้ เล่าผลเสียก่อนจึงจะเล่าเหตุให้ฟังในวันพระต่อไป ก็ขอยุติแค่นี้ เราจะได้บำเพ็ญกัน
เขียนโดย
DooJDee
ที่
16:08
0
ความคิดเห็น
ส่งอีเมลข้อมูลนี้
BlogThis!
แชร์ไปที่ Twitter
แชร์ไปที่ Facebook

ป้ายกำกับ:
บทความพิเศษ
