เพียงแค่เราลงไป สัญลักษณ์เครื่องหมายของ ของอันดับจะปรากฎความอิ่ม มันอิ่มในหัวอก มันอิ่มในหัวใจ มันอิ่มมันเต็ม มันอิ่มจริง ๆ อย่าว่าอิ่มในสมาธินะ ถอนสมาธิแล้วเดินไปไหนมาไหนมันอิ่มเต็มสัดเต็มส่วน เดินไปมันเต็ม มันหนัก มันแน่น มันอิ่มมันแปลก แต่เราจะสังเกตได้ในข้อนี้มีผลเสียอยู่อันหนึ่ง สมมุติว่า ผู้ตกอันดับเพียง ขณิกะสมาธิ ไปลุ่มหลง ตายอยู่แค่นั้น ไม่อยากคุยกับใคร ใครมาคุยด้วยไม่เอา รำคาญ อยากจะหลบหนีไปหานั่งคนเดียว ไม่อยากคุยกับใคร แต่ปรากฎน้ำตาไหลเรื่อย ๆ มีความเมตตาคนโน้น สงสารคนนี้ อยากจะไปดึงเอาคนโน้น อยากจะไปดึงเอาคนนี้ ถ้าไม่สามารถจะดึงเขาได้ ก็อยากจะขอร้องขอวรครูบาอาจารย์และหมู่คณะ ให้มีนโยบายชวนเขามา ช่วยเขาทำสมาธิอะไรบ้าง อย่างนี้เป็นต้น และก็คิดถึงพ่อ คิดถึงแม่ คิดถึงคนโน้นคนนี้ สงสารคนโน้น สงสารคนนี้ น้ำตาไหลเรื่อย เขาเรียกเมตตาตกบ่อ ผลเสียอันนี้อยู่ที่ตรงนี้ อันนี้เรียกว่า ขณิกะ ทีนี้ถ้าหากว่าเรามีสติสมบูรณ์ขึ้นไปกว่านั้นอีกล่ะ จะร่อนเข้าสู่ฐานที่ 2 ได้ เรียกว่า อุปจาระ พอวูบลงไปถึงฐานที่ 2 จะมีเครื่องหมาย มันเบา มันเบาจริง ๆ นะ มันเบาลงเหมือน ๆ ว่าการนั่งของเราไม่ได้นั่งที่พื้นหรอก เหมือนว่ามันลอยอยู่ซัก เมตร 2 เมตร นี้เป็นต้น ลอยอยู่เราจะนั่งทั้งคืนก็นั่งได้ มันลอย เบาอยู่อย่างนั้น มันสบาย แล้วมันเย็นอยู่ในหน้าอกแผ่ว ๆ เหมือนเราได้ยาทิพย์หยอกเข้าชโลมประโลมเข้าไปในหัวใจเรา มันวิ่งเข้าไปทุกเส้นทุกเอ็นเลย โอโฮ้ รู้สึกว่า วันเนี๊ยะ นั่งสบายจริง ๆ นั่งสบายมาก อันดับนี้มีเสียอยู่ว่า บางคนนึกว่ามันเบาจริง ๆ มันจะกระโดปุ๊บ ขาหักอะไรเหล่าเนี๊ยะ บ่อย แต่ความเบาอันเนี๊ยะ ไม่ใช่ไม่ขึ้นนะ เบาแล้วไม่ใช่ว่าไม่ขึ้นนะ เบาจริง ๆ แล้วขึ้นจริง ๆ คุยให้ฟังแล้วก็เหมือน ๆ ว่าตามหลักแล้ว สำหรับหลักผู้ทำสมาธิคุยสู่กันฟังได้ พระพุทธเจ้าอนุญาต แต่ว่าเราไม่ต้องพูดไปข้างนอก เพราะบางคนอาจจะลงโทษเราได้ หาว่าอวดอุตริมนุสธรรม แต่เราพูดเรื่องเป็นจริง ถ้าพูดเรื่องเป็นจริงปรับอาบัติทุกกฏ ถ้าพูดโดยไม่มีมูลในตัวปรับอาบัติปาราชิก แต่ที่เราพูดในเรื่องที่มีมูล แต่ท่านพูดว่าให้พูดกับบุคคลที่ตั้งใจจะบำเพ็ญ เพื่อเอาความจริงอันเนี๊ยะ เล่าสู่กันฟัง เพื่อผู้นั้นต้องการแล้ว จะทำอันนี้คู่ควรแก่การสอน คือหมายความว่าเอามาประกอบการสอน ท่านให้พูดได้ แล้วเราก็พูดหมายความว่าต้องการอยากจะชวนพวกเราให้ลองดู อาตมายังเคยเล่าให้หมอฟัง อาตมาเคยทำ พอนั่งแล้ว มันเบาขึ้นไปถึงขื่อ ปรากฎว่าหัวขึ้นไปถึงขื่อ ทั้ง ๆ ที่เอามือมาจับมันก็เป็นขื่อ วางมือมันก็ลงถึงอาสนะ ลองดูซิมันขึ้นได้จริงไหม เอากล่องไม้ขีดมาวางตักข้างหนึ่ง พอขึ้นมาถึงปุ๊บ ปรากฎก็ยกมือขึ้นมาถูกขื่อ เอามือวางกล่องไม้ขีดใส่ขื่อ แล้วก็วางมือกำหนดลงถึงอาสนะ จับไฟฉายลองดู ไม้ขีดมันขึ้นขื่อจริง ๆ แหมตอนนั้นอาตมาไม่นอนไม่รู้กี่วัน ไม่รู้ ด้วยความบ้าบอคอแตก เกิดมาในชีวิตเพิ่งเจอ ตะบันกันซะจนไม่รู้ว่าจักตะบันกัน เกือบตาย จนครูบาอาจารย์ท่านก็ให้สติเตือน คุณทำอย่างนี้ตาย คุณทำอย่างนี้ตาย ขอให้หาวิธีเปลี่ยนใหม่ซะเถอะ ร่างกายน่ะร่างกาย จิตใจกับร่างกายคนละอย่างต้องพยายามแก้วไข แหมท่านเตือนให้มีสติสตัง ถ้ายังงั้นก็คงจะตายไปแล้วหล่ะ มันบ้ามันลืมไปจริง ๆ เพราะฉะนั้น เข้าสู่ฐานนี้เราจะเห็นได้ในความเบา แล้วรู้สึกเย็นหน้าอก แผ่ว ๆ ๆ นี้เป็นสัญลักษณ์เบื้องต้น ต่อจากนั้นไป คุณธรรมพิเศษมันเกิดนับไม่ถ้วน อันนี้เป็นลำดับที่ 2 ทีนี้ถ้าเรามีอำนาจของสติพอกับความต้องการจริง ๆ แล้ว จะตะล่อมเข้าสู่ฐานที่3 ได้ มันก็เหมือนกันอย่างเดิม ถ้าเรามีวสีในการเข้า เหมือนลงลิฟท์ วูบ ๆ เรื่อย เข้าสู่ฐานที่ 3 มันจะมีความเย็นก่อน ซ่า ๆ ซ่านเข้าไปทั่วสะพรังกาย เหมือน ๆ เราได้ยาทิพย์ชโลมหมดทั้งเส้นเอ็นทั้งหมดเลย รู้สึกว่ามีแสงสว่างโอภาสขาวเหมือนกับแสงนีออน ชโลมคลุม เหมือนหมอกนั้นเถอะ เหมือนหมอกคลุมไปหมดเลย ขาวโพลนสว่างโพลไปหมด อู้ฮู อันนี้รู้สึกว่าดีมาก ถ้าผู้ใดเป็นโรคประสาท สามารถประคองจิตเข้าสู่ฐานนี้ได้ ออกมาประสาทฉุกคิดโล่งไปหมด อาตมาเคย ทำงานอยู่กับพวกทิดเสาร์เนี๊ยะ 3 เดือน 4 เดือน อาตมาไม่นอนน่ะ เขาไม่เห็นอาตมานอน แท้จริงอาตมานอนเหมือนกัน นอนแบบไหน เราเข้าสมาธิปุ๊บ ลงไปสู่ฐานปุ๊บ พอปุ๊บลงมามันก็โล่ง แล้วก็ออกมาทำงานได้ ความมึนงงไม่มี เรื่องประสาทมึนงงไม่มี โล่ง โปร่ง แหมมันรู้สึกแปลกดีเหมือนกัน 2-3 เดือน ทำงานอยู่กับเขาเนี๊ยะ โอ้อาจารย์ไม่นอน ก็เดินต๊อก ๆ แต๊ก ๆ ตลอดเวลาไม่ยอมนอน ไม่แย่หรือ เขาไม่รู้เรื่องน่ะ เรานอนในสมาธิเท่านั้น เพราะนั้น อันดับที่ 3 เขาเรียกว่าอัปนา เนี๊ยะ สำคัญมากเนี๊ยะ สำหรับเราจะร่อนเข้าไปสู่ จุดทั้งหลายเหล่าเนี๊ยะ แหมมันแสนสบาย อันนี้หมายความว่าเราเข้าสู่ฐานของสมาธิ อันนี้ถ้าพูดมากเดี๋ยวพวกเราจะเหนื่อย เหนื่อย ก็ ค่อย ๆ คิดน่ะ เดี๋ยวคุยกันเล่น แหมนี่ อิ่มใจเลยอาจารย์มาเนี๊ยะ คุยกันซะหน่อยซิ นี่อุปัฏฐากเก่าน่ะนี่ ช่วยเหลือตั้งแต่สมัยอยู่ถ้ำเป็ดโน้นแน่ะ อุปการะมาจนทุกวันนี้ไม่เคยทิ้งไม่ว่าจะอยู่ที่ไหน ๆ นั้นก็ คอยติดตามที่จะอุปการะ หรือไปฟังธรรมะเสมอ เป็นอาจารย์ใหญ่สอนที่บ้านหนองกุ่ม หนองกุ่ม อาจารย์ใหญ่บ้านหนองกุ่ม อาจารย์พรหมไม่มาวันนี้ เอ่อ นี่อาจารย์พระหม อาจารย์ใหญ่บ้านส่องดาว พ่อตาของตาแก้วนั้นน่ะ เนี๊ยะผลของสมาธิ อาตมาเองนี่ แหมรู้สึกปลื้มใจเหลือเกิน ดีใจเหลือเกิน ถึงแม้เราจะได้น้อยนิดหนึ่ง เปรียบเหมือนคุณธรรมเนี๊ยะ เหมือนภูเขา แต่อาตมาได้เท่าเมล็ดงา ยังไม่มากน่ะ เท่าเมล็ดงา แต่ทุกวันเนี๊ยะ นึกว่าไม่เสียชาติ เสียทีที่เกิดมาเป็นคน เพราะสามารถเอาตนเข้ามาบวชในบวรพุทธศาสนา บำเพ็ญตนเข้าไปสู่คุณธรรมได้ แค่นี้ ยังภูมิใจ หากในเมื่อเราก้าวเข้าไปได้คุณธรรมให้มากมายกว่านี้จะแค่ไหน อันนี้ ซึ่งอาตมาเองเนี๊ยะ ทุกวันนี้พยายามมาไล่เรียงคิดถึงเรื่องคุณธรรมเนี๊ยะ จนบ้าบออยู่ในเรื่องคุณธรรมนี้เสมอ อันใดที่จะเป็นอุปการะต่อมรรคผล อันใดที่จะเป็นอุปการะต่อการดำเนินเข้าสู่ธรรมได้ อาตมาพลิกแพลงของอาตมาอยู่ตลอดเวลา ตลอดให้ทานการบริจาค การเลือกเมตตาอารีต่อหมู่คณะ การหาอุบายวิธีนำหมู่คณะเข้าสู่แดนแห่งความสงบ ด้วยบุญเกียรติอันที่ตัวเองกระทำได้ ทั้งหมดขอให้เป็นบารมีในปัจจุบัน เพื่ออุดหนุนให้ข้าพเจ้าก้าวเข้าไปสู่ธรรม อีกข้อ ถ้าอาตมาจะทำอะไรทั้งหมด มีความน้อมลงอยู่อย่างนี้ตลอดเวลา เพราะว่า ตัวเองได้แค่นี้ล่ะ มันปลื้มใจ แต่อยากให้มันได้มากกว่านี้ เอ มานึกถึงเนี๊ยะ ที่อาตมาเคยเล่าให้คุณหมอฟังว่า อาตมาเองเนี๊ยะ มีแนวคิดอันหนึ่ง ซึ่งทำให้อาตมามั่นใจ อยู่ในความดีทั้งหลายเหล่านั้น ความดีทั้งหลายเหล่านี้วิเศษแน่ นึกถึงว่า องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าของเราเนี๊ยะ เป็นลูกชายใหญ่ของกษัตริย์ แต่พวกเราทุกคนก็ทราบแล้ว พุทธประวัติ ว่าได้รับ การพยากรณ์จากพราหมณ์อย่างไรบ้าง อันนี้ก็ทราบแล้วไม่ควรที่อธิบายอะไรมาก แต่สำหรับผู้พระบิดาก็ต้องการอากให้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ แต่สำหรับถ้าจะว่าตามหลักบารมีอันแท้จริงก็เมือนอัญญาโกณทัญญะ ที่พยากรณ์ ที่เมืองนี่เดียว ว่ามีคติจะต้องบวช สัพพัญญูพุทธอย่างเดียว แต่ 7 คนน่ะ ที่ 2 มีคติสอน การตรัสรู้ธรรมเป็นมนุษย์ศิริยะสัมาสัมโพธิญาณ จนคุ้นค้าประโยชน์ ไม่ซึ้ง ไม่เข้าใจ จึงไม่ต้องการ จึงได้หาอุบายผูกมัดสิทธัตถะกุมาร ผู้เป็นลูกชายเนี๊ยะ ให้ติดหลงอยู่ในโลก ถึงโอกาสจะได้เป็นพระเจ้าจักรพรรดิ์ธิราชขึ้นมาได้ จึงได้อุบายวิธีจากพราหมณ์ทั้งหลาย ก็ไม่มีอะไรอื่นไกล คือหานโยบายผูกมัด การผูดมัดไม่ได้ผูกเหมือนควาย ซึ่งหมายความว่า อยู่ในวัยเช่นไร ก็พยายามหาของมาให้เล่นในวัยเช่นนั้น คิดดูว่าสร้างสนามยิงธนู การสร้างสนามยิงธนู การสร้างสนามเล่นกีฬา การขุดสระสำหรับว่ายน้ำ การสร้างปราสาทที่อยู่อาศัย 3 ฤดูกาล สามหลัง ในวัยเช่นไร ควรยังไง จนกระทั่งถึงวัยที่เป็นหนุ่ม เตรียมอะไรบ้าง อันนี้ไม่ต้องพูดมาก เราจะเข้าใจ สรุปแล้วทั้งหมดเนี๊ยะ ล้วนแต่ความสุขทั้งนั้น เพราะฉะนั้น ในเมื่อพระองค์ของเรากำลังแสวงหาโมกขธรรม 6 ปีเนี๊ยะ จิตรู้สึกว่ามีความพะว้าพะวังเป็นบางคราว คือย่อมคิดถึงในความสุขในแบบโลกีย์วิสัยบ้าง ก็ทำให้จิตท้อถอยต่อการบำเพ็ญเป็นคราว ๆ ไป อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้ต่อเมื่อมา อย่างเมื่อคืน อาตมาอธิบายแล้วว่า อุบายต่าง ๆ ที่การแก้ของสิทธัตถะกุมารมีอะไรบ้าง ได้เล่าให้คุณหมอฟังไปแล้ว จะไม่เล่าต่อ เอาเพียงแค่ที่ว่า เมื่อพระองค์มีความตั้งใจ บุกเข้าสู่ความสำเร็จจนได้ภูมิขึ้นมาแล้ว ท่านไม่เคยเห็นว่าความสุขทั้งหลายแหล่ ที่มีความเป็นอยู่จากผู้พระบิดาเตรียมให้ทั้งหมดว่าเป็นความสุข ท่านบอกว่าเราหลงเรื่องของความทุกข์เป็นความสุข เปรียบเหมือนกับเด็กเล่นขึ้น คนโตมองเห็นแล้วสะอิดสะเอียน จะอวกจะอาเจียน จับลากออกมา เด็กผวาจะกินจะจับตลอดเวลา ฉันใดก็ดี ในเมื่อเราไปยึดในสิ่งที่ไม่ควร ซึ่งบัณฑิตทั้งหลาย ทั้งหลายมองเห็นแล้ว หัวเราะเยาะ เหมือนอย่างกับเรามองเห็นความเป็นอยู่ของเรา ซึ่งหลงใหลในสิ่งอย่างงั้น ในระยะที่ไม่บรรลุ หมายความว่ายังไได้บรรลุนิติภาวะในทางธรรม จะย่อมเป็นอย่างนั้น บัดนี้เราได้บรรลุนิติภาวะในทางธรรมแล้ว สรุปแล้วไม่เพียงแค่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าเพียงพระองค์เดียว สาวกฝ่ายชาย สาวิกาฝ่ายหญิง ผู้ซึ่งสำเร็จตามพระพุทธเจ้ามากมายก่ายกองเหลือเกิน ไม่มีใครถอยออกมารับผลแบบฆราวาสวิสัยด้วยกันทั้งนั้น ดื่มด่ำอยู่ในธรรมชั่วอายุไขกันทั้งหมด ผู้ที่ตรัสรู้ตามพระพุทธเจ้าของเรานั้น มีฐานะความเป็นอยู่แตกต่างกันมาก บางคนจนที่สุดจนถึงขอทานนี้ก็มีนี่ บางคนรวยที่สุดจนเป็นมหาเศรษฐีก็มี ผู้มียศถาบรรดาศักดิ์อันยิ่งใหญ่ เป็นพระมหากษัตริย์ก็มี เมื่อตรัสรู้ธรรมตามพระพุทธเจ้าแล้วเนี๊ยะ ไม่มีถอยหลังออกมาซักคนเดียว ดื่มด่ำอยู่ในธรรมตลอดอายุไข นอกจากผู้ที่ยังไม่ได้สำเร็จมรรคผลถอยออกมาอย่าง สุกนักมัคกะถานิถีเป็นต้น อันนั้นเรียกปุถุชน แต่สำหรับผู้เข้าสู่ธรรมเป็นอริยะชนแล้วนี่ ไม่มีถอยหลังแม้แต่พระองค์เดียว สรุปแล้วทั้งหมด ผู้สำเร็จธรรมตามพระพุทธเจ้าเนี๊ยะ มีวรรณะแตกต่างกันมาก ต่ำที่สุดก็มี สูงที่สุดก็มี แต่แล้วทั้งหมดดื่มด่ำอยู่ในธรรมตลอดอายุขัยด้วยกันทั้งสิ้น เมื่อเรามาพิจารณาให้ได้ความชัดแล้วว่า คุณธรรมนี่ดีแน่ ดีจริง ๆ เอาเถอะน่า มาพูดถึงพวกเราแล้ว เทียบกับความเป็นอยู่ของสิทธัตถะกุมาร เทียบกันไม่ติด ในเมื่อเราเข้าสู่ธรรม เห็นธรรมแล้วนี่ เราไม่ต้องคิดเลยว่า ไอ้ความรุนแรงของจิตที่จะต่อต้านเราหรือจะจูงเราออกให้เป็นไปในรูปนั้นแบบนี้ เราไม่ต้องหวั่นวิตก พอเข้าถึงฐานทีเดียวแล้วเนี๊ยะ มันสว่างไปหมด เปรียบเหมือนกับเรามองเห็นขี้ กับเด็กมองเห็นขี้มันคนละอย่างกัน เด็กมองเห็นขี้เนี๊ยะ เด็กไม่เข้าใจหรอก กินก็ได้ เล่นก็ได้ ขี้ออกมาเล่นขี้ เยี่ยวออกมาเล่นเยี่ยว ตามภาษาของเด็กที่ไม่บรรลุนิติภาวะ แต่ในเมื่อบรรลุนิติภาวะแล้วนี่ โอ้โฮ ไม่ได้นะ จักลากคอไปใส่มันก็ร้องไห้ ดีไม่ดีมันจะต่อยเอาเสียอีก มันไม่เอาแล้ว ฉันใดก็ดี เอาเถอะน่า อาตมาเชื่อว่าอย่างนั้น เพราะฉะนั้น หากในเมื่อพวกเรา ดื่มด่ำเข้าไปอยู่ในธรรมเรียบร้อยดีแล้วนั้น อาตมาก็ไม่หวั่นวิตก ในทางที่พวกเราจะพะวงคิดไปในทางที่จะกระโดออกไปประกอบในสิ่งที่ไม่ควรประกอบ เชื่อว่าจะอุทิศตนทั้งชีวิต อยู่ในบวรพุทธศาสนา และดื่มด่ำอยู่ในธรรมตลอดชีวิต และไม่ขี้เกียจในการบำเพ็ญแน่ เช่นดุจในองค์สมเด็จพระโลกเทพผู้พระบิดา แม้แต่นิพพาน ได้นิพพานแล้วน่ะ ว่ากันเถอะ เพราะว่าได้เป็นพระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ยังเดินจงกรมอยู่ ยังนั่งสมาธิอยู่ จนขนาดเวลาหลับ เวลานอนของท่านไม่รู้เมื่อไหร่ก็ไม่ทราบ นี่เป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น อันเนี๊ยะ อาตมาก็เล่าสู่กันฟัง ไอ้อย่างว่ามันชักจะเลยเถดไปหน่อย ๆ ไม่รู้จะเล่าว่ายังไง เพราะว่าดีอกดีใจ ญาติโยมทางฝั่งลาว อาจารย์ใหญ่ก็มา อื่อ อาจารย์จันทร์ อาจารย์ทม เราและหมู่คณะของเราไม่รู้ใครเป็นใครหรอก มองยังไม่ชัด เดี๋ยวตอนเช้าจะมองดี ๆ ว่าใครเป็นใครกันแน่ อุตส่าห์เสียสละมาทำให้อาตมามีความปลื้มปิติยินดี ดีอกดีใจมาก อาตมาถึงได้ขยายธรรมอะไรบางอย่าง ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่คู่ควรที่จะต้องเอามาชี้แจงในสถานที่นี้ อาตมาก็นำมาชี้แจง บางสิ่งบางอย่างมีอันตรายต่อพระวินัย แต่อาตมาก็กล้าที่จะเอามาบรรยายสู่ฟัง เพื่อต้องการอยากให้พวกเราเนี๊ยะ เอาเหตุผลต่าง ๆ ที่เล่าสู่ฟังเนี๊ยะ ไปเปรียบเทียบ เพื่อต้องการที่จะได้ลงมือประพฤติปฏิบัติ แต่สูตรข้อปฏิบัติก็ไม่สู้จะให้ได้ เพราะฉะนั้น หากในเมื่อเรามายืนกรานในหลักสูตรข้อปฏิบัติของเรา ในฐานะผู้น้อยเป็นครูบาอาจารย์ชั้นผู้น้อย ก็กลัวผู้ใหญ่จะหัวเราะเยาะเอา จึงไม่กล้าชี้แจง สูตรข้อปฏิบัติอันนี้ให้กระจ่างเท่าไรนัก แต่หากในเมื่อท่านผู้ใดยังรักในสูตรข้อปฏิบัติอันนี้อยู่ ก็ให้ระวังให้มาก ให้ระวังให้มาก ศึกษาให้เข้าใจก่อนจึงค่อยทำ เนี๊ยะ อาตมาภาพอธิบายเหตุผลสู่ฟังก็ยืดยาวแล้วน่ะ ขอยุติแค่นี้…………………………………..
เอ่อ เอาละน่ะชักจะยาวไปแล้ว ว่าแต่อาจารย์อ่อน ………. ( มีการสนทนา พระอาจารย์ใหญ่กับโยม ) ( โยมถามข้อสงสัยเกี่ยวกับการปฏิบัติว่าทำไม่ได้ ) เอ่อ โว้ย อันนี้มันอยู่ มันอยู่ที่สูตร มีหลักเกณฑ์ละน่ะ มีหลักเกณฑ์อย่างที่อาตมาสอนเนี๊ยะ มันมีหลักเกณฑ์ การฝึก ๆ แบบใด จากไหนไปถึงไหน ทีนี้มีการทดสอบทดลองแบบไหน อย่างไหน มันต้องวางสูตรให้กันแน่นอน พร้อมไปด้วยว่าจะประกอบด้วยโทษ มันเกิดขึ้นในลักษณะเช่นใด มีปฏิกิริยาเช่นใด เราจะควรเปลี่ยนแปลงอย่างไง ต้องมีครูดูแลตลอดไปเลย จนกระทั่งกำลังของตัวคุ้มครองเรียกว่าอำนาจของตัวคุ้มครองสมบูรณ์แล้ว ส่วนกำลังอริยะมัคคุเทศน์ตัวที่จะนำเราไปสู่ความเป็นอริยะบุคคล ตัวพิพากย์ษา จะสร้างเรามาโดยวิธีไหน จะต้องมีสูตรมีหลักเกณฑ์อีกอย่าง จึงจะสร้างขึ้น แล้วก็เอาไปทดสอบทดลอง อันไหน ๆ เป็นลำดับ ๆ ยืนกรานตีคู่กันไปเลย อันนี้เป็นต้น อันนี้ของอาตมาต้องวางคู่กันไปตลอด ไม่ใช่ว่าบอกพุทโธน่ะ อย่างเดียวไม่เอา เออ ผู้ปฏิบัติรู้เองเห็นเอง พุทโธ ๆ ไปเถอะ อันนั้นอาตมาถือว่าใช้ไม่ได้ พิจารณากายเด่อะ ให้เป็นอาจิณ แปลกแตกต่างมาก แต่ว่าไม่ได้เป็นองค์เดียวซี่ ครูบาอาจารย์ที่เข้าแบบเดียวกันหลายสิบองค์ด้วยกัน (โยมถามถึงวิธีป้องกันกิเลส) มันต้องการสร้างให้สมบูรณ์ซ่ะก่อน มีวิธีบังคับไม่ใช่ของยาก ว่ากันง่าย ๆ เหมือนกับผีปอบกำลังเข้าคนอยู่นี่น่ะ ถ้าหมอมีเวทมนต์เหนือผีปอบขึ้นไปเสกมนต์เข้าไป โอ้ย ลุกขึ้นมากราบทันทีเลย กราบเลย มึงมาจากไหน มึงมาจากไหน ไปเรียนมนต์มาจากไหน มึงซิจะยอมไหม ถ้ามึงไม่ยอมมึงกินน้ำปัสสาวะอีก เอามาให้มันกินมันก็ต้องกิน มึงกราบกูมึงก็ต้องกราบ มึงสูบยามึงก็ต้องสูบ หากว่าเวทมนต์มันเหนือผี ถ้าไม่เหนือกว่ามัน อย่าเข้าไปใกล้ ผีปอบมันจะถุยน้ำลายใส่รดหน้า ฉันใดก็ดี การสร้างกำลังเหนือจิต มันก็เอาในตัวของเราเอง เมื่ออำนาจเหนือกันจะรู้ทันที สำหรับผู้ปฏิบัติ รู้เลยว่าอำนาจมันเหมือนกัน หลับเป็นหลับ ตื่นเป็นตื่น กำหนดอยู่ก็เป็นอยู่เอาเป็นเอา เป็นตัวของเราอย่างอาตมา สมัยก่อน อาตมาทำหลายอย่าง การทดลอง เพราะว่าอาตมามันเป็นแบบ แบบที่เรียกว่า แบบตาบอดคลำทาง คลำไปเรื่อย ๆ อาตมานี้เมื่อสร้างอำนาจอันนี้มาแล้ว มันจะคู่ควรกับความต้องการหรือไม่ หมายความว่ามันพอหรือยัง ทดลองไปหลายอย่าง ทดลองไป กับมดกับหมา ทดลองไป 108 เอาหมามาเล่นละครล่ะ แต่ก่อนอาตมาซน เอาหมามาเล่นละครให้เขาดู เอา มึงลุกขึ้น เอา มึงนอนลง เอา มึงไปทางซ้าย ไปทางขวา เดินไปด้านหน้า กลับมาเอาหมามาเล่นละครให้เขาดู เอา มึงลุกขึ้น เอา มึงนอนลง เอา มึงไปทางซ้าย ไปทางขวา เดินไปด้านหน้า กลับมาด้านหลัง ทำเหมือนกับเรือบินที่เขาใช้วิทยุบังคับ เราใช้อำนาจจิตของเราสะกดหมาให้อยู่ในอำนาจ แล้วบังคับให้ไปตามความต้องการได้ ว่าไปก็ต้องไป ว่ามาก็ต้องมา ว่าหมอบก็ต้องหมอบ ว่าในการทำจิตวิทยาสงบสะกดคนให้หลับให้หมดดู เพื่อต้องการให้ทราบว่า หลักจิตวิทยาเนี๊ยะ เอาออกไปจากจิตแน่นอน 100 % เราก็แสดงให้ดูก็ได้ อาตมาทดลองจนถึงขนาดนั้น เพราะฉะนั้น อำนาจในเมื่อของเราทำได้ถึงขนาดนั้น เอามาห้ามจิตของเราเป็นการง่าย หยุด มันไม่ดีดื้อหรอก เหมือนกันกับหมดดี ไล่ผีปอบล่ะ อยู่นิ่ง ๆ สั่งให้กราบมันก็กราบ ไหว้ก็ไหว้ มึงไปนะทีนี้ แก้ได้ทันที เข็ดไม่กล้าเข้าอีก ไม่มาหลอกอีกเลย อาจจะไปกินคนอื่นอีกก็ได้ พอได้ยินว่า เฮ้ย ไปเอาหมอนั้นมา มันคงจะหนีไปเลย ฉันใดก็ดี เมื่อได้ก็เมื่อนั้น หากในเมื่ออำนาจเหมือนกัน ผู้ปฏิบัติด้วยกันก็จะรู้ทันที สร้างให้มากเจริญให้มาก เรียกว่าจะต้องสร้างให้ตามสูตร ให้ดี (โยมถาม) ความชำนาญมันไม่พอ อำนาจมันไม่พอกัน อันนั้นเขาเรียกว่า ขโมยหลบถ้าเราทำเป็นปล่อยลง มันจะมีกิริยาอันดีงาม คือว่า อันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 ไปเลย ถ้าเราลงไม่เป็น มันก็จะไปโน้น ถึง อัปนา โน้นแล้วไม่เข้าอันดับเลย โอ้ย สว่างแจ้งเลย จะเป็นอย่างงั้น ว่าในเมื่อสว่างดูดลูดไปข้างเดียว แนะเป็นอย่างงี้ เขาเรียกว่าขโมยหลง หลงทางเข้า มันหลงทางเข้า ไม่ชำนาญ ถ้าเราชำนาญแน่ ๆ เอาลงอันดับ 1 อันดับ 2 อันดับ 3 แล้วจะไปสู่อันดับใดก็กามภพ รูปภพก็ว่ากันไปตามเรื่อง เมื่อเวลาถอยปุ๊บนี่นะ ออกมาลำดับ ๆ ๆ มันจะสังเกตได้จากการได้สัมผัสด้วยแล้วไปปั๊บ ๆ พอเราน้อมลงปั๊บเนี๊ยะ ในระหว่างความกระทบร้อนหนาวเนี๊ยะ จะหมดไป หมดไป หมดไป เหมือนลงส่างเลย เหมือนลงบ่อ อิ่มลงไปสัมผัสตามประภพของลม หมดไป หมดไป หมดความรู้สึก เสียงที่ได้ยินเสียง โป๊ก ๆ ปั๊ก ๆ นี่มันคล้าย ๆ กับว่าห่างออก ห่างออก คล้ายวิ๋ว ๆ ๆ ตัดหมดเลย มันเป็นอย่างนั้นละนี่ ก่อนจะเข้าที่ไม่รำคาญเลยเสีย ไอซิ ๆ จาม ๆ โป๊ก ๆ ปั๊ก ๆ ไม่รำคาญ มันจะวิ๋ว ๆ เข้าไป มัดเข้าไปเลย ลักษณะเหมือนการลงลิฟท์ก็ยืบ ๆ สู่อันดับ 1 มันก็ปรากฎผลขึ้นมาเลย สู่อันดับ 2 ก็ปรากฎเลย สู่อันดับ 3 ปรากฎผล ลำดับ 4 ลำดับ 5 ก็แล้วแต่เราจะไป ถอยออกเราก็ถอยออกมา ออกมา เป็นลำดับ ๆ ไป จนกระทั่งอีบทมันดีชดจริง ๆ ก็คือกินก็ขึ้นซาก ขึ้นจากบ่อ โผล่ขึ้นมานั้นว่า ปรากฎว่านั้นก็ว่าลมก็เป่า โซ่ รู้สึกร้อนเย็นอย่างนั้น เสียงก็วาบเข้าในหู ได้ยินละทีนี้ ใครว่าอย่างไรก็ได้ยิน เป็นอย่างนี้ จะเป็นความชำนาญ เพราะฉะนั้นถ้าเราต้องการให้ชำนาญก็ต้องสร้างกำลังให้พอกับความต้องการ เปรียบยังกับว่า คนที่มีกำลังน้อย ไปแบกของหนักบางอย่าง ก็ไม่ตรง เซ มาก็เซไป เซมา นั้นว่ากำลังไม่พอกัน ถ้ากำลังมันพอก็เหมือนกับพูดง่าย ๆ ไปแบกทีละน้อยแบกเอาขึ้นบ่าสบายเลย ไปยังไงก็ได้ ไปสบายเลย ฉันใด เมื่อกำลังตัวประคองกับความต้องการจะเอาลงแบบใดก็ได้ เอาลงแบบใด ลงอย่างงามที่สุดก็ได้ ถ้ากำลังไม่พอ เอาลงเล็กน้อยก็เอาคูลงซ่างแล้ว มันก็ไม่เป็น หลุด ๆ ๆ ๆ ตูมไปแล้ว มันจะเป็นยังงั้น เข้าใจไหมล่ะ ( โยมถาม ) อันนี้หมายความว่าพูดแบบมีทำไปเผา เผาเครือเดียวทำไม่เซา ไป โน้น อย่างนั้น มันแล้วแต่กรรม บัดไปสุขไปฝั่นละบินสามันห่อย มันล่อยกับภาษาไทย ฉันใดก็ดี การบำเพ็ญของเรานี่คล้าย ๆ กับว่าการเผา การดำเนินไม่สมบูรณ์ ความไม่สมบูรณ์ของเรานี่ มันคอยทำรูปออกข้าง รูปออกไม่สมบูรณ์ มันต้องเผาให้ได้อันดับของมัน เสร็จแล้วค่อยคอยเคาะ แล้วก็เผา แล้วก็เคาะ คอยคิดคอยแต่งลงเข้ารูป พอเข้ารูปได้ดีเสร็จเรียบร้อยแต่งคบดีแล้วมาทุบปั๊บ ไม่แตกต่างกันเลย ปั๊บได้ผล สั้นเผาเพียงลวก ๆ มาตีเอ้าตีเอา เป็นอยู่เป็นท่ามันเป็นยากน่ะซิ ทำไปแบบไหน เกะ ๆ กะ ๆ ไปงั้นล่ะซิ มันของไม่สุกน่ะ แตกกาดยวกเข้าไปนั้น บัดนี้มันมาสุดป้าหลวย ก็แตกก็แบะแล้ว แตกตาหยวกก็แล้วว่า เพราะฉะนั้น พวกเราต้องพยายามให้ถูกน่ะ (โยมถาม) แต่บางทีอาตมาว่าลงไปนี้ไม่ของจริงดอกเด่นี่ อันนี้ของเล่นหรอกน่ะ ไอ้ที่ลงไปนี้ของเล่นน่ะ ไม่ใช่ของจริงน่ะ อันนี้ไม่มีสูตรเป็นไปหรือสำเร็จมรรคผลแน่ ไอ้อันนี้เป็นสถานที่พักเล่นแน่ ๆ เมื่อกี้หมอฟังรู้เรื่องไหม เอ่อ ไอ้ตรงที่จะทำงานจริง ๆ ที่เรียกว่าตัดกระแสสภาพของจิตจริงๆ มันคนละสูตรกันอีกเด้อ คนละลักษณะ อันนี้เป็นสถานที่ซ่อนเล่น ในระยะเรามันเหนื่อยเรามันเหนื่อย เราเข้าไปแล้วมันสนุกดี มันเพลินดี นั้น แต่สำหรับการที่จะทำลายภพของจิตที่จริง ๆ มันเป็นคนละรูปคนละลักษณะอีก ต่างแบบกันอีก เพราะฉะนั้น คอยศึกษาไปทีละน้อย ๆ เราจะไปศึกษาทีเดียวแบบพรวดพราดทีเดียว เราจะทำได้ไม่แนบเนียบ การทำสมาธิก็เหมือนกัน ต้องค่อย ๆ ทำไป ต้องศึกษาไปให้เข้าใจไป ใช่ไหม มันต้องอย่างนั้นใช่ไหม ต้องอย่างงั้นใช่ไหม เอามากเดี๋ยวจะลวก ๆ น่ะ หมดเนอะ ฮ่ะ ๆ ๆ เผาทีเดียวตีไม่หยุด เอา เผาทีเดียวก็ตีไม่หยุด ความไม่แตงแตกต่างหยวกเลย หึ ๆ เจ้าแม่นอาจารย์ อาตมานี่คล้าย ๆ กับว่า พวกมนต์พวกหมอ พวกวิทยาศาสตร์นี่ ต่อต้านศาสนานี่ มันก็เอาเด่ เพราะว่าอาตมาไม่เคยเล่นจิตวิทยา คือว่ามันทำ แหวกแนวที่อาจมา ทำแล้วไม่ได้เพียงว่าเราทดสอบทดลอง ส่วนตัวของเราว่าสามารถประคองเราได้อยู่ดีไหม สามารถติดกระแสได้ดีไหม เหตุการณ์ที่มันรุนแรงขึ้นมาเนี๊ยะ จิตของเราเข้าไปลอยคอเนี๊ยะ เราสามารถพักได้ไหม ตัดได้ไหม อาตมาก็เพียงแค่เรียกว่าทำเท่านี้ เล่นกับศาสนา สะกดคน สะกดหมู สะกดหมา 108 โดยส่วนมากเรื่องมะเร็งเมื่อก่อนไม่ได้ใช้ยาเด้ เป่าโลด เป็นโรคหัวใจใหญ่ หัวใจโต ว่าก็ได้ สะกดแล้วก็บังคับ โอ๊ย เมื่อก่อนทำได้ดี คนบนโลกนี้ไม่รู้กี่คนแล้ว อยู่ใกล้กันมากคนละมุมวัด สะกดทั้งหมดทำงาน บางคน 2 วัน 3 วัน ได้ผล ในทำนองนี้ เพราะฉะนั้น อำนาจของเรามันรุนแรงขนาดเนี๊ยะ เรามาห้ามปรามของเราเนี๊ยะ มันเป็นของอ่าน สะกดหมาเนี๊ยะ หมามันยิ่งร้าย ตัวสะกดเนี๊ยะ มันยังสามารถสะกดได้ เพราะฉะนั้น ในเมื่อเหตุการณ์จะชวนให้เราหลับเนี๊ยะ ตื่นขึ้นมาเนี๊ยะ เราห้ามจิตปุ๊บ ก็จะหยุด หยุดทันทีเลย ถ้าอำนาจมันถึงกันจริงๆ ก็เหมือนกับอำนาจหมอผีปอบนั้นแหละ อยู่มึงค่อม่อแล้ว แต่ถ้าอำนาจไม่ถึงกัน ๆ น่ะอย่าเลย น้ำลายมันจะราดหน้าเอา ว่างอย่างไงอาจารย์แม่นหรือเปล่า เอาะเถอะน่ะนี่น่ะ มัวแต่พูดกัน การภาวนาจะไดได้เท่าไรเนอะ พูดกันทีละน้อย ๆ ของแซบกินกันเกิน เดี๋ยวเราก็ท้องเสีย ตายซ้ำเนอะ มันต้องพอดี ๆ ว่าแต่เปิ้ลอาจารย์ใหญ่ว่าเด่อ พูดกันอย่างนี้เป็นกันไม่จบหรอก นี่มันจะเป็นอยู่แล้ว นี่มันชักลามปามละนี่ แต่ที่เล่า ๆ เรื่องจริง ๆ น่ะ อาตมาเล่านี่อาตมาไม่ได้อ้างคัมภีร์วินัยนี่อย่างเรื่องจริง ยกเรื่องจริงที่ประสบมาให้ฟังเลย ว่าเราไปเห็นอันใดแน่ หลักฐานที่จะนำเข้าไปสู่จุดนี้ได้มาทำจากกำลังแบบไหน ประคองแบบใด เล่าสู่กันฟังจริงโลด อ้างว่าตำรานั้นเขียนนั้น ตำรานี้เขียนนี้ เราไม่เป็นปริยัติจริง เราพูดแบบผู้ปฏิบัติ พูดแบบชาวสวนพูดกัน ไม่ได้พูดแบบนักเรียนพูดกัน ว่ากันง่าย ๆ แบบนี้ล่ะ เพราะฉะนั้น อาตมาถึงเอาหลักความจริงมาชี้แจงเลย ซึ่งข้าพเจ้าทำมา 30 ปีนี้ ซึ่งพิสูจน์แล้ว ได้ความคืออันนี้ ว่าคือที่ลงทุนมา 30 ปี 30 ปีนี้ ลงทุนมา ที่ดำเนินน่ะเป็นเป็นอย่างงี้ เล่าสู่กันฟังง่าย ๆ โลด ก็มีแค่นี้ เอาล่ะน่อนี่น่อ เอาแจกน้ำร้อน เอา ๆ ๆ อันนี้ว่าห้อว้อของอาตมาไปอยู่ทางโน้น ในยุคสมัยกระโน้น ว่าอาตมาทำอะไรบ้าง จึงเป็นสิ่งที่เรียกว่าแตกต่าง จึงเป็นสิ่งที่ประหลาดลึก ๆ และอาตมาเข้าไปอยู่ที่เมืองจันทบุรีเป็นเบื้องแรกนี่ ซึ่งไปทรมานชาวจันทบุรี อาตมาแสดงอะไรบ้าง ซึ่งทำให้คนจันทบุรีจำนนด้วยเหตุผล ยอมจำนวนด้วยความจริงอันนั้น เพราะแม้แต่ปาฏิหาริย์หรืออำนาจเป็นส่วนภายนอกเนี๊ยะ อาตมาก็ทำกี่อย่างขึ้นได้ เอาแค่ทิดเสาร์นี่ก็ได้ ทิดเสาร์ก็ได้นี่ นี่สักขีพยาน พระเณรของเราเยอะแยะ วันหนึ่งพวกเราเขาพาพวกเจ้าหน้าที่ไปหลายคนเหมือนกันนั้นแหละ เสไพบูลย์ แล้วก็ร้อยเอกเล็ก ใครต่อใคร ไปกันเยอะ แล้วก็มีจ่าคนหนึ่งมาพูดไม่ค่อยจะดี ว่าอาตมาเนี๊ยะ ในรูปที่เขากล่าวหาในรูปอย่างโน้นอย่างนี้ แกบอกให้เสเขาฟังเรื่อยนั้นแหละ น่าจะเป็น โอ้ย อาตมาว่าชักไม่เข้าท่าเลย หมอคนนี้ อาตมาก็ขึ้นท่ายืนตรงบันได ฟังเขาคุยกันเสียก่อน อันนี้ก็ไม่ใช่กลางคืนนี่ มันกลางวันนี่ และในที่กุฏิอาตาก็สูงขึ้นมาอย่างงี้ มันก็มีส่วนรวมนะ อยู่กันตั้ง 10 กว่าคน อาตมาก็ยืนอยู่ตรงบรรไดนี่ ต่อมาก็ว่า “นี่เสาร์” เขาว่าน่ะ อาจารย์เข้าใจว่าเราค้างน่ะเนี๊ยะ ไปนิมนต์อาจารย์มาโลด เอามะละกอสุกมาฝากฉันด้วยน่ะ เอ นี่มันไม่เห็นเราจริง ๆ เสียยังไงเนี๊ยะ ทิดเสาร์ก็พรวด ๆ จะชนคนตกบันไดตายนี่หวุด ๆ ไปเลย เอะเรานี่ตามันเป็นยังไงวะ อาตมาว่า เอ๋ ทำไม่ดีแล้ว อาตมาก็เลยเดินข้ามเขาไป ไปนั่งฟังมันคุยกันกินเวลาเป็นชั่วโมงเหมือนกัน พอเสร็จแล้วอาตมาก็ว่าจ่าเสียน่าดูเหมือนกัน ว่าซะตะบันเหมือนกัน ๆ ยอมแพ้เลย เสวิ่งเข้ามากราบ บอกว่าเรื่องนี้ผมจะให้สงบตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ผมเชื่อว่าครูบาอาจารย์เป็นพระแล้ว อันนี้คุยเหมือนกับว่า มันเป็นเรื่องของตัวเองให้คนอื่นคุยน่ะมันไม่เข้าท่า อาตมาไม่ชอบ อาตมาอยากจะคุยแล้ว บางทีมีใครคัดค้านขึ้นมา เราจะหาสักขีพยานให้มันแน่นอน อย่างทิดเสาร์เนี๊ยะ ตัวการคนหนึ่ง ซึ่งนั่งอยู่ในวงของเรา วิ่งไปเอามะละกอให้เขา วิ่งไปหาอาตมา อาตมาก็นั่งอยู่ตรงนั้นแหละ ยืนอยู่ตรงนั้นแหละ พอทิดเสาร์วิ่งไป อาตมาก็ข้ามหัวเข้าไปนั่งอยู่ตรงนั้นแหละ อันนี้หมายความว่าอำนาจของการบำเพ็ญนี่ มันสามารถที่จะทำได้เป็นไปได้ กลางวันแสก ๆ คนไม่ได้น้อย มันก็เป็นไปได้ อยู่วันหนึ่ง เขาถ่ายรูปอาตมา ทิดเสาร์เนี๊ยะน่ะ อาตมาก็ยืนอยู่ข้างในห้อง ก็มีคนเขาขึ้นไปข้างบนหลายคน คนที่ถือยาสีฟันมี มีขันล้างหน้ามี นั่งรออยู่ข้างบน พวกนี้ก็ตีวงอยู่ข้างล่าง ฟังเสียงทิดเสาร์ กับได้เจ้าละอ่องเขาก็คุยกัน………………………..( จบ หน้า เอ )………….
หน้าบี
นักมวยไง กระสอบทรายยืนกลางเลยตูม เอ่อ มันก็ซ้อมคู่ซ้อม อยู่กับกระสอบทรายนั้น ขึ้นเวทีเมื่อใดก็ตะบันหน้ากันฉันใด อย่างนั้น แต่พอเลิก ๆ จากากรแลกหน้ากันแล้ว ลงมาก็กระสอบทรายอยู่อย่างเดิม ตูม ๆ อยู่แค่นั้น ลมหายใจเข้าออก อานาปานสติ วิธีเป็นเหมือนอยู่แค่กระสอบทรายอยู่แค่นั้นน่ะ พอถึงจังหวะขึ้นชกก็เลิกจากกระสอบทราย ก็ตะลุมบอนกันทีนี้ ศึกษาต่อความเป็นมาของนักมวยมารูปไหนแบบไหน เราควรจะต้อนด้วยหมัดไหน ทำอย่างไง อันนั้นมันแล้วแต่รูปของมัน พอเสร็จแล้วก็ลงมาหากระสอบทรายอย่างเดิม ( โยมถาม คือว่าเขาจะมาแบบไหนก็เตรียมต่อต้านไว้พร้อมแล้ว ) คือว่ากำลังเนี๊ยะ เป็นอันเดียวกัน แต่นี่สำหรับจะเอาไปสู้กับกิเลสมันมาหลายแบบ กิเลสไม่ได้มาในทางกายอย่างเดียว 108 พันอย่าง แล้วแต่มันจะมา มันมาในรูปไหนแบบไหน เราก็ต้องแก้ในรูปนั้นแบบนั้น โดยเฉพาะเป็นปัจจุบันนั้นเอง แต่บางคนไม่เข้าใจก็เลยถือว่า แหมท่านสอนส่วนใหญ่ก็ว่ากันทางกาย ก็เลยเอาเรื่องกายมานั่งพิจารณากันเลยทีนี้ ในกายเป็นอย่างไง เอ่อ เบญจขันธ์ (โยมถาม) ก็เมื่อก่อนเป็นอย่างนี้ โดยมากจะสอนอย่างนี้ แต่สำหรับอาตมาฟังกันหลาย ๆ องค์นี่ ฟังแล้วเนี๊ยะ ไม่ใช่อย่างนั้น มันสอนคนละรูปแบบ แต่ที่ส่วนใหญ่ประจำวันที่ท่านสอนโดยมากมักจะว่าใช้พระรูปเณรน้อย ที่ไปติดอยู่ในอารมณ์อย่างนั้น ท่านก็จะชี้แจงเอาซิคุณ ต้องพิจารณาอย่างนั้น พิจารณาอย่างนี้ ทีนี้เวลาไอ้คนที่ฟังไม่เข้าใจ เวลานี้พระเณรกำลังติดงอมแงมอย่างนี้ ท่านสอนไปด้วย เพื่อต้องการจะแก้ปัจจุบัน ณ เหตุนั้นเอง เขาบอกองค์นี้ แต่ไม่ใช่เรื่องของเรา สำหรับสูตรจริง ๆ เนี๊ยะ ท่านสอนยังไง ก็เปรียบเหมือนกับลมหายใจเข้าออกเนี๊ยะน่ะ ลมหายใจเข้าออกเนี๊ยะ ลมหายใจเข้าออกเนี๊ยะ กายเป็นหนึ่งเป็นที่ตั้ง กำหนดพุทโธ พุทโธ ก็เปรียบเหมือนกระสอบทรายของนักมวย ก็ซัดอยู่อย่างนั้น แต่สำหรับท่านพ่อลี กลับสอนอีกน่ะ ลมแม่ครับบ้าง ลมอะไรบ้าง ต้องเอาลมหยาบ ลมละเอียด ลมทิพย์ ลมอะไรไปเยียวยาอีก มันหักไปอีกละ ไปคนละทาง คุณฟังดูซิ มันแปลกดีไหม ก็เปรียบเหมือนยังกับนักมวยต่อยกระสอบทราย ก็ต้องเอากระสอบทรายไปต้มกันเสียก่อนถึงขึ้นเวที มันถึงจะชนะ ก็พอ ๆ กับเขาว่านะซิ ว่าไงหมอ มันกลายเป็นอย่างงั้นไปเสียแล้ว (โยมถาม “ ระดับพระนิกายให้พิจารณา ระดับ ขณิกะกรรมฐาน 5 น่ะ ก็ไม่ตรงเป้าหมายทีเดียว) มันไม่ใช่อย่างนั้น คำที่ว่าสัจจะปัญจะกะกรรมฐานเนี๊ยะ ให้พิจารณาให้เกิดเป็นกรรมฐาน คือ อสุภะกรรมฐาน อันนี้ก็เป็นอุบายสำหรับหลักธรรมะสั้น ๆ ไม่น่ายาก เมื่อพิจารณาในเมื่อเหตุมันเกิดขึ้นเท่านั้น ไม่ใช่ว่าเราจะมานั่งเพ่งนั่งพิจารณาอันนั้นอยู่เป็นอาจิณ อยู่ตลอดมันก็ไม่ได้ เพราะฉะนั้น ในหลักบำเพ็ญจริง ๆ ที่จะรวมขึ้นมาจริง ๆ มันคนละอย่างกัน (โยมถาม) อันนั้นมันหญ้าปากคอกหมอ คล้ายกับเหมือนยากปวดหาย ไวคุณ ทันใจ เด็กมันว่าง่ายซิ มันปวดหัวไปเอายาทันใจมากินซิ มันเป็นหญ้าปากคอกที่น่าสอนกันง่าย ๆ ไปก่อน ไอ้ส่วนลึกลับลึกซึ้ง เช่น โรคชนิดใดลึกลับนี่ มันเป็นเรื่องของหมออีกทีหนึ่ง ที่จะต้องวิจัย อันนั้นเป็นส่วนลึกซึ้งหมอ ส่วนปัจจะปัญญากะกรรมฐาน เกสา โลมา นะขา ทันตา ตะโจ ให้พิจารณาให้เกิดกรรมฐาน หรือเกิด อสุภะกรรมฐาน มันเป็นอีกอย่างหนึ่ง อันนั้นเพื่อการต้านทานพระภิกษุใหม่ที่เข้ามาเนี๊ยะ ไอ้ความคะนองของจิตที่จะไปสู่ไอ้สิ่งที่ไปยั่งยุจิตใจ ท้องถอยได้ง่าย เพราะอันนี้มันเป็นของสำคัญ เพราะฉะนั้น ขอให้พิจารณาสิ่งนี้ให้เสมอกัน อันนี้มันเป็นเรื่องของพระใหม่ เรียกว่า นวกะภิกษุ เพราะฉะนั้น อย่างหลักนวโกวาทเนี๊ยะ เป็นหลักสูตรที่พระพุทธเจ้าให้ก็ไม่ถูก คล้าย ๆ กับว่าอันเนี๊ยะ มันคู่ควรกับนวกะภิกษุ การสอนปัญจะกรรมฐานเนี๊ยะ เป็นอุบายที่จะสอนในเบื้องแรก สำหรับพระนั้นจะได้คลายต่อความคิดแบบนั้น อันจะเป็นอันตรายต่อพรหมจรรย์เพศของตัวเอง จึงได้ให้อุบายนี้เป็นหลักยึดมั่น เพื่อจะคลายหรือบรรเทาความคิดชนิดนั้น ให้มีความมั่นคงอยู่ในพุทธศาสนา แล้วก็ได้ศึกษาสูตรที่ถูกต้องและลึกซึ้งเข้าไปอีก มันคนละรูปกันหมอ มันคนละอันกัน ไม่ใช่ว่าท่านให้อย่างงี้และจะเอาอย่างงั้นตลอดไม่ใช่อย่างนั้น มันต้องไปคนละเหลี่ยมกันอีก นี่หมอเข้าใจไหม อันหนึ่งมัน มันเป็นของง่ายซิ เปรียบเหมือนแม่จะไปทำงาน ก็เอาผ้ามาผูกตีนให้เด็กมอง แต่ไม่ใช่ว่าเด็กมันจะได้ดิบได้ดีอะไรกับผ้าแดงนั้นหรอก คือหลอกให้มันอยู่บ้างพ่อแม่จะได้ทำงานได้บ้าง ถ้าไม่งั้นก็จะมาก็มาออด ๆ กัน เมื่อพ่อมันมาจะได้กินอะไรเล่า เดี๋ยวพ่อมันด่าเอา ก็ไปตำน้ำพริกบ้าง ทำไอ้โน้นทำไอ้นี่ มองดูผ้าแดงปลิวแว๊บ ๆ เห็นอยู่ได้ชั่วครู่หนึ่งแล้ว แม่ก็ไปทำงานได้ พอซักเดี๋ยว เอ เอาแล้ว ชักคิดโน้นคิดนี่แล้ว คีบผ้าแดง แว๊บขึ้นมา ก็เอ่อ ยังพอหน่อย เพราะฉะนั้น ปัจจะปัญญากะกรรมฐาน ก็พอ ๆ กับผ้าแดงที่ผูกหลอกเด็กไว้ให้แม่ทำงานได้ครู่หนึ่ง แค่นั้นหมอก็ว่าอย่างงั้น ก็แค่นั้นแหละ อันนี้พูดกันอย่างกันเองแล้วนี่น่ะ พูดกันอย่างกันเอง แต่สำหรับคนอื่นอาจจะเข้าใจแตกต่างจากสิ่งนี้ แต่สำหรับอาตมาเข้าใจแค่นี้ พอเด็กมันโตขึ้นมาหน่อย เอายังไงอีกล่ะทีนี้ เด็กมันโตขึ้นมาหน่อย เอ่อ เอากระป๋องนมมาว่ะ ให้มันวิ่งเล่นเพื่อจะให้มันไม่มากวน มันวิ่งกันไปตามเรื่องตามราว อย่างนี้เป็นต้น พอนวกะภิกษุเข้ามาก็พิจารณาอันนี้ด้วย ไปเรื่อย ๆ ไปต่อไปน่ะ พยายามหาวิธีทำ พอโตขึ้นมาหน่อยมันก็ว่า เอ้อ เป็นอธิการ สมภาร เป็นพระครูเวย์ จะสึกก็เป็นห่วงพระครู เป็นห่วงอธิการ อะไรเหล่านี้เป็นต้น คล้าย ๆ มันจะผูกไปทีละเปาะ ๆ ทีละเปาะ ๆ มันอย่างเงี๊ยะ ผูกไว้ทีละเปาะ แต่สำหรับของเราเองนี่มันคนละเชิงกัน (โยมถาม) มันก็มีนก็แล้วอันนี้ จะจำเป็นก็ได้ ไม่จำเป็นก็ได้ ศึกษาไว้ก็ได้ ไม่ศึกษาไว้ก็ได้ ถ้าไม่จำเป็น แต่สำหรับอาจารย์มั่นล่ะก็ เรื่องศีลข้อปฏิบัติเนี๊ยะ อานาปานสติวิธี ยืนกรานเลย อนาปานเนี๊ยะ กระสอบทรายเลย
ท่านบอกว่ากระสอบทราย เป็นของทิ้งไม่ได้ ต้องยืนกรานอยู่ตลอดเวลา เพราะเป็นอุบายที่จะรวมกำลังเรา กำลังใหญ่ก็คือการกำหนด อานาปานสติวิธี การกำหนดลมหายใจเข้าออก พยายามประคองสังเกตความเคลื่อนไหวของจิต อำนาจของจิต ตัวคุ้มครองสมบูรณ์ไหม คุ้มครองสติพอแล้วหรือยัง ประประต่ออารมณ์โดยสัญญากันได้ไหม หรือสามารถที่จะประคองให้อยู่ในอำนาจของจิต ผมยืนกรานอยู่ตลอดเวลาเลย อันเนี๊ยะ อันเนี๊ยะ เป็นหลักดีที่สุด นี้ส่วนเหตุที่จะเกิดขึ้นมามันก็แล้วแต่กำลังที่จะเข้าตะลุมบอนกัน เหตุเกิดขึ้นมาก็เหมือนนักมวยแต่ละคนมีลูกเจ็ก มีลูกไทย มีลูกฝรั่ง มีลูกไทยล่ะ จวนต่อยจะขึ้นนะ นวดล่ะ ทีนี้แชมป์ยังไม่มี ทุกอย่างที่มา เราไม่มีหนี ต้องตะบันกัน แต่สรุปแล้วก็รวมเอา รวมเอากำลังจากพัดมาจากกระสอบทรายคืออานาปานสติวิธี นี่ขึ้นต่อต้าน เราจะประคองจิตของเรา เราได้ด้วยวิธีอย่างไง เราจะหาการพิพากษาความโดยวิธีอย่างไง จึงถึงจะรู้เท่าทันวาระวิธีในสิ่งเหล่านั้น สภาวะในสิ่งอย่างนั้นไปแค่ไหนอะไรอย่างนั้นเป็นต้น ให้มันชัดเจนกระทั่งหน้าตามัน มันเหมือนที่อาตมาเล่าให้ฟัง กิเลสอย่างนี้น่ะ กิเลสไม่ได้เป็นตัวมาเหมือนนกเหมือนหนูนี่ ก็คือแนวคิดของเรานั้นแหละว่างั้นก็แล้วกัน ส่วนกิเลสที่มันจะมาต่อต้านให้เราเหลวไหลต่อข้อปฏิบัติ ก็คือความคิดของเรานั้นแหละ มันจะมาทำให้เราเหลวไหลได้ เพราะฉะนั้น อันในเรื่องแต่ละ มันชวนให้ยั่วยุให้เราไปตามรูปของเหตุการณ์ ถ้าเหตุการณ์เฉย ๆ มันมาเฉย ๆ ก็ไม่มีอะไรเนี๊ยะ ถ้าจิตของเราเข้าไปต่อละทีนี้ ทีนี้ละมันจะได้เรื่องละทีนี้ เพราะฉะนั้น ในระหว่างจิตของเราลุกขึ้นไปต่อ กับเหตุการณ์นี่ มันอยู่ในลักษณะเช่นใด เป็นเหตุการณ์จะชวนให้เราโกรธน่ะ มันมีปฏิกริยาในทางโกรธนี่ มันจะต้องก่อเหตุอะไรขึ้นมา มีผลเสียอย่างไรบ้าง ทีนี้เราจะใช้อำนาจที่เราฝึกคิดขึ้นมา วิธีอย่างสติเข้าประคองจิตของเราไว้ด้วยวิธีเช่นใด …………….. จึงจะวางจากอารมณ์และเหตุการณ์อันนั้น อันนี้เป็นกำลังที่เรารวมจากนี้ไ แต่ละวัน แต่ละวัน มันแล้วแต่เหตุจะเกิดขึ้น ยกเรื่องเปรียบงว่าย ๆ มันคล้ายกับเนี๊ยะหมอ บางคนเขาบอกว่า เฮ้ย ผมเนี๊ยะ มีจริต คือโทสะจริต ผมน่ะ ถ้าจะว่าตามหลักธรรม กรรมฐาน 40 ห้องของผมแล้วเนี๊ยะ เมตตาจิตของผมเนี๊ยะตลอดเป็นอาจิณ ทำอย่างนั้นไม่ได้ ทำอย่างอื่นไม่ถูกบีบผมเลย ผมไม่เอา ผมจะเอาเพ่ง เอาแต่จิตของผมอย่างเดียว บางคนก็ว่าอย่างนี้ บังเอิญบอกว่าผมนี้ไม่ได้ล่ะ ผมนี่มันราคะจริตไม่ไหวผม ผมจะต้องเพ่งเรื่องร่างกายให้เกิดกับจิตเป็นอาจิณตลอดเวลา ก็พยายามทำ แล้วองค์กรมฐาน 40 ห้อง ท่านวางแบ่งเป็น ล็อค ๆ ๆ ไว้เลย สำหรับคนแต่ละนิสัย เพราะฉะนั้น คนเรามีนิสัยแตกต่างกันถึง 6 อย่าง เอ ว่าอย่างนั้น จนกระทั่งพุทธจริตบ้าง ศรัทธาจริต วิปัสสะสะจริต ราคะจริด โทสะจริด ก็ว่ากันไป 6 อย่าง จะต้องมีค่าที่ปฏิปักษ์ต่อกัน 40 ประการช่วยแก้ อย่างนี้เป็นต้น ทีนี้พวกที่ถือตามหลักธรรม 40 อย่างก็ ยืนหลักอีกละหมอ ทีนี้ยืนตายก็ต้องว่าไปตามนั้น แล้วที่ทำมาว่าตามนั้นก็ผิดน่ะซิ เป็นอย่างนั้น เลยยันขึ้นมาแบบนี้ สรุปแล้วก็เหมือนกับพ่อมียาไว้ 40 ห่อ 40 อย่าง อย่างนี้แก้โรคคนละอย่างกันน่ะ แก้โรคคนละอย่างกัน แต่ที่ยา 40 อย่าง แก้โรคคนละอย่างกันเนี๊ยะ เราจะแก้ไขอย่างไร เราโรคปวดหัวขึ้นมา ยาแก้ปวดหัวคืออะไร ห่อไหน ขวดไหน โอ้เวลานี้เป็นไข้ป่าโว้ย ไหนชุดไหนแก้ไข้ป่าล่ะ โอ้ย เวลานี้ปวดท้องลมแดกโว้ย ไหนละยาแก้ลมแดกอยู่ตรงไหนล่ะ แล้วถ้าเราเกิดปวดท้องเอายาแก้ไปผ่าขึ้นมาล่ะ มันก็ไม่ถูกหลัก มันก็ไม่หาย เพราะฉะนั้น โอกาสของโรคไม่ใช่ว่าเราจะเป็นได้อย่างเดียว ไม่ใช่อย่างนั้น เอ ผม นี้เป็นโรคปวดท้อง ยาทั้งหมดนี่ไม่มีประโยชน์สำหรับผม ไม่มีประโยชน์เลย 40 ขนานแล้วเอาไปเลย ผมเนี้ยปวดท้อง ผมเอายาแก้ปวดท้องได้ตลอดเวลา จะเอายาแก้ปวดท้องมากิน จ๊อก ๆ อยู่ตลอดเวลาไม่ได้ เพราะคนเรามีโรคหลายอย่าง แต่ว่าอาการของโรคจะเกิดขึ้นไม่ได้เกิดทีเดียว มันอาจจะวันใดวันหนึ่ง มันต้องเกิดขึ้น อย่างนี้เป็นต้น มันต้องเปลี่ยนแปลงไปเรื่อย ไม่ปวดท้องก็ต้องปวดหัว ไม่ปวดหัวก็ต้องปวดตาปวดฟัน มันเวียนไปเรื่อยอย่างนี้เป็นต้น ทีนี้โอกาสที่โรคนี่จะเกิดขึ้น เราจะต้องหยิบฉวยเอายาชนิดที่เป็น คล้าย ๆ กับว่าเป็นยาขนานที่ต้องรักษากัน ใส่เข้าไปเลย ฉันใดก็ดี กรรมฐาน 40 ห้อง ไม่ใช่ว่าเราคู่ควรแก่กรรมฐานเพียงแค่ห้องใดห้องหนึ่ง ไม่ใช่อย่างนั้น และจริตทั้งหมด 6 จริตเนี๊ยะ ไม่ใช่เรามีจริตเพียงจริตเดียว ความจริงแล้วเรามีทั้ง 6 จริต นั้นเอง แต่ว่าอาการที่มันจะเกิดขึ้นเนี๊ยะ มัน ๆ คนละ ๆ ๆ เวลากัน เมตตากับโทสะเกิดพร้อมกันไม่ได้ บางจังหวะมันอาจจะเกิดเมตตา บางจังหวะมันอาจจะเกิดโทสะ อย่างนี้เป็นต้น มันจะต้องเอามาพิจารณาคิดแก้กัน เพราะฉะนั้นทั้งหมดเนี๊ยะ จริตทั้ง 6 อย่าง มีอยู่ในเราทุกคน อย่างคนนี้บอกว่าผมมีโทสะจริต ราคะมันไม่เกิดมั่งรึ มันก็ต้องเกิด อย่างนี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น ในระยะโทสะมันเกิด เราก็ต้องหาทางแก้แบบโทสะ ให้มันระงับลงไป ในจังหวะที่มันเกิดแบบราคะ เราก็พิจารณากายที่จะเอามาแก้ไข เปรียบเหมือนยาที่ว่าเนี๊ยะ โรควชนิดใดเกิดขึ้นก็เอายาชนิดนั้นกรอกเข้าไป เหมือน ๆ ๆ กันนี่เอง เพราะฉะนั้น ผู้ที่พิจารณาให้กว้างขวางและพิจารณาให้แยบคายเข้าใจแล้วเนี๊ยะ ก็ไม่จำเป็นจะต้องโละยา 40 อย่าง ไปเฉพาะขนานเดียวได้ ควรเอาไว้ทั้ง 40 อย่าง แต่ควรใช้ในโอกาสจังหวะโอกาสที่ควร แล้วแต่ประสบการณ์ที่เราประสบอยู่มันเกิดอะไรขึ้นเวลานี้ เปรียบได้ในเวลานี้เราเป็นโรคอะไรล่ะ เราก็ต้องเอายาขนานอย่างนั้น เจ็บตาเอายาหยอดตามา เอายาป้ายตามา ปวดฟันเอายาแก้ปวดฟันมา ปวดหัวเอายาแก้ปวดหัวมา ปวดท้องเอายาแก้ปวดท้องมา โอ้ยเวลานี้เป็นไข้หวัด เอายาแก้ไข้หวัดมา โอ้เวลานี้เป็นไข้ป่า เอายาแก้ไข้ป่ามา ทั้งหมดนี้คู่ควรแก่เราทั้งหมด ทุกขนานเลยยาเนี๊ยะ แต่แล้วโอกาสโรคมันจะเกิดขึ้น ชนิดใดก็แล้วแต่ เราหยิบฉวยเอายาชนิดนั้นมาแก้ทันที ฉันใดก็ดี เรื่องจริตทั้ง 6 นี่ มีอยู่ในตัวของเราทั้งหมดทุกอย่าง แต่โอกาสมันจะเกิดขึ้นเวลาไหนไม่ทราบ พอเกิดปุ๊บ ธรรม 40 ห้องคู่ควรแก่เราทั้งหมดนี่ เราต้องเอามาแก้ ในธรรมที่เป็นปฏิปักษ์ต่อกันอันนี้ เลยขอให้เราเข้าใจอันนี้ให้ละเอียด ๆ ซักหน่อยก็พอจะรู้เรื่อง เพราะฉะนั้น ไม่จำเป็นว่าเราจะผูกขาดเรื่องกายมาพิจารณากันได้อยู่ตลอดเวลา ไม่ถูก อันนี้ไม่ถูกหลัก อันนี้คุณหมอว่าไหม เห็นด้วยไหม อันี้ ๆ เห็นด้วยแน่น่ะ อย่างนี้ ๆ ให้เหตุผลอย่างนี้น่ะ อันนี้ถูกต้องน่ะ ว่าไงอาจารย์ใหญ่ อาจารย์ว่าไง (โยมถาม) ยังอยู่อย่างงั้นแหละ ไม่ยินยอมอย่างเขาก็ไม่หยุดล่ะ เขาก็ตะบันอยู่อย่างงั้น ตะบึงอย่างงั้นอยู่ตลอดเวลา เป็นของทิ้งไม่ได้ อย่างผู้เข้าใจว่าผู้นี้สำเร็จมรรคผลแล้วน่ะ นอนรอวันตายอย่างที่เขาว่า ผู้นี้สำเร็จเป็นพุทธาสิสัทธะโก ผู้นี้สำเร็จเป็นสติสัมธิธา ผู้นี่คู่ควรต่อการเผยแพร่พุทธศาสนา ก็เผยแพร่ไป ผู้นี้ไม่คู่ควรแก่การเผยแพร่เลย ก็นอนรอวันตายไป แล้วแต่ไม่มีอะไรเลย ถึงวะสุขังวิสะถะโก ไม่มีญาณไม่มีฌาณ ก็แค่แห้งกรอบ ๆ เหมือนปลาย่างไม่มีมันอย่างนั้น เขาว่า อย่างอันนี้เข้าใจผิด 100% (โยมถามว่าให้พิจารณาร่างกาย) ไม่ได้ ไม่ได้ ก็เปรียบเหมือนดั่งกับคนนี่ เปรียบเหมือนกับคนเจ็บท้องล่ะน่ะ คุณจะเอายาแก้เจ็บท้องมากินก็กิน คุณเป็นไข้ป่า คุณเป็นไข้หวัด เอายาแก้เจ็บท้องกรอกตลอดเวลา มันหายไหมคุณ (โยมถาม) อันนี้มันขึ้นอยู่กับความพิสดารหรือไม่พิสดารในตัว ฟังแล้วเข้าใจซึ้งไหม ตามความหมายของท่านเทศน์แต่ละวัน ท่านเทศน์ใครบ้าง ท่านว่าใคร ในเรื่องอะไรนี่ ซึ่งอาตมาเองก็เคยว่าในตัวของตัวเอง วันนี้เรามีอารมณ์อย่างนี้ ขุ่นมัวอยู่ในใจ พอดีท่านเอาเลย ท่านเอาทันทีเลยละ แหมงงเลยทีเดียว อย่างงี้เป็นต้น เพราะฉะนั้น สรุปได้ความว่า แต่ละวันเนี๊ยะ เบื้องต้นตั้งแต่ตื่นขึ้นมาเนี๊ยะ จะต้องพระองค์ใดองค์หนึ่ง แต่ท่านไม่นี่ โอ้ คิดอย่างนี้น่ะ คิดอย่างนี้น่ะ ไม่ได้ มันเดือดร้อน เดือดร้อน ไม่ดี อาตมาเองยังเคยทำ อาตมาจะเล่าให้ฟังไว้อย่าง อ่า ญาติของเณรล่ะ ของเณรบุญมาเนี๊ยะ ทุกวันนี้อาตมาเข็ดนะ เข็ดเท่าวันตาย ทำอย่างไงเขาก็เป็นคนดีน่ะ อยู่กับอาตมา เขาชื่อ บุม อื่อ อาจารย์รู้ละ ลูกโยมเกสร อันนี้พูดกันเฉพาะพวกเราน่ะ อย่าให้ออกไปข้างนอก เพราะจะเป็นผลเสีย คืออาตมาเองก็คล้าย ๆ กับว่า จะพยายามสอนเณรเนี๊ยะ ตามวาระจิตของจิตอย่างนี้เป็นต้น มันเลยเกิดเป็นผลเสีย ผลที่สุดตัวเองเลยหยุด บางโอกาสอาจจะมีบ้าง ตามสมควร ทีนี้พอเขาเดินจงกรมปุ๊บ อาตมาก็จับเลย อาตมาก็นั่งเก้าอี้ดู ตรงผู้ที่สวดปากฏิโมกข์ ดูปาฏิโมกข์หน่อยหนึ่ง ดูปาฏิโมกข์ ก็นั่งลืมตาธรรมดา ดูมันก็ได้ความในวาระจิต ก็ทำให้คิดอยู่นี่ ก็คิดทำไม พอเขาก้าวเดินจงกรม เดินไ ๆ เขาคิดว่าเขาอยากจะทำนาแล้วปิดฝาย ทำกั้นน้ำที่ไหลลงมาเป็นถ้ำ เป็นแถวไอ้ถ้ำเป็ดนั้นแหละ กั้นและพยายามทำน้ำที่ไหลเข้าไปหานา พอไหลเข้าไปหานาแล้วเนี๊ยะ เขาจะทำตากล้าตรงไหน ซึ่งหว่านกล้าตรงไหน อะไรตรงไหน อันนี้เป็นต้น ทีนี้แนวรูปความคิดของเขานี่ เขาทำได้ 24 อาตมาพยายามจับวาระจิตอยู่ตลอดเวลา อาตมาก็ ………… แต่เขาเดินจงกรมไปเรื่อย ๆ โยมมานี่ก่อน คุณเดินจงกรมอย่างเนี๊ยะ ไม่เกิดมรรคไม่เกิดผล ได้โปรดน่ะ ได้โปรดเถอะ คุณต้องห้ามปรามแนวความคิดแบบนี้น่ะ นี่เขาเรียกว่าสายสืบของภพ หรือภพของจิต ถ้าคุณทำลายตรงนี้ได้ เท่ากับคุณทำลายภพของจิตได้ เพราะฉะนั้น คุณจะไปต่อเติมอีกทำไมไม่ทราบ คุณคิดในเรื่องแรกที่คุณก้าวขาเดินคุณคิดในเรื่องการปิดฝายตรงคลองตรงนั้น แล้วคุณจะปล่อยน้ำจากตรงนั้นไปถึงตรงนั้น ทำตรงนั้นของคุณจะเป็นตากล้า พูดตามภาษาบ้านเรา และต่อจากนั้นไปคุณ ตรงป่าหัวนาข้าว หัวคุณพยายามขุดออกให้หมด เสร็จแล้วจะทำนา สรุปแล้วแนวคิดของคุณเนี๊ยะ ได้ข้าวกองใหญ่เบ้อเร่อเลยล่ะ และคิดต่อไปจนถึงมีลูกมีเมียด้วย อันนี้ผมบอกว่าการเดินจงกรมเนี๊ยะ นี่ ๆ ไม่ดี หยุดซะ แหมทีนี้ นั่งไม่ติด วุ่นวาย พ่อประคุณเอ๊ย นั่งไม่ติดเลย วุ่น ผลที่สุดต้องสึก เขาถืออว่าความผิดของเขาที่มีอยู่สมัยในตอนที่อาตมาอยู่ถ้ำเป็ด อาตมาก็ เป็นไข้บ่อย ๆ เอ่อ เป็นไข้บ่อย ๆ เช่นอย่าง โฮมเหมือนกันน่ะโฮม โฮม เอ วันนี้ไปบิณฑบาตด้วยกันน่ะ เอาผ้าไปด้วย เอ ตรงต้นกระบกนี่แหละ หมดที่บังสกุลเนี๊ยะ ฉันจะมอบให้คุณ อาตมาจะมอบให้คุณเอาไปสำภาระบริขารบวชน่ะ ขากลับมาก็วางตรงนี้ละ พอไปถึงบ้าน กลับมาปุ๊บ พอดีเขาวางไว้ตรงนั้นพอดี เนี๊ยะ โฮมจัดการ พอบังสกุลให้เสร็จเรียบร้อยดีแล้ว เอ้า ห่อ เอ่อ ห่อไม่เป็น คือเขาบอกว่าในชีวิตเกิดมาไม่เคยได้ยิน เห็นแต่ตำราเขาว่า หูทิพย์ ตาทิพย์ พอไปเจอะด้วยตัวเองไม่รู้ว่าจะคิดอย่างไง จะร้องไห้หรือว่าก็ใช่ที จะไม่ร้องไห้หรือน้ำตาก็ไหล เอาก็เอาไม่เป็น ยืนซึม เลอะละ เลอะละ อยู่พักใหญ่ก็แล้วกัน ก็เลยเอาอันนั้นน่ะ มาเป็นบริขารให้เขา เนี๊ยะ ๆ อาจารย์คงจะผ่านหูมานี้หน่อยนึง น่ะ อาจารย์คงรู้เพราะตอนนั้นอาจารย์อุปถัมภ์อยู่ ทีนี้ฉันเห็นศิษย์ของฉันเหมือนลิงหาง มีหางด้วย แน่ะ ไปอีกแล้ว ไปอีกแล้ว ๆ แน่ะ แค่นี้มันก็ไปอีกแล้ว แนะ มันไม่ถูกแล้ว เพราะว่าจิตเนี๊ยะมันเป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม ของไม่มีตัวไม่มีตน ลองเอาความรู้สึกอันนี้มันขึ้นมา รักไหม ชังไหม โกรธไหม เกลียดไหม มันรู้สึกอย่างไง เราจะเอาชนะไอ้ความรู้สึกอย่างนั้น อันนี้หมอ ๆ เข้าใจแบบนี้ใช่ไหม อันนี้หลักจริงมันเป็นอย่างงี้ใช่ไหม อันนี้ถ้าเราชนะแบบเห็นตัว เป็นเหมือนลิงหางไม่มีซะด้วย เดี๋ยวจะหยิบโน้น ฉันบอกหยุด แหมมันกอดมือเข้ามาเลย พอเผลอปั๊บ พวกว่ามันหยุด มันก็กอดเลยนั่งมองหน้าฉันอยู่นั้นแหละ ฉันก็นั่งมองมันอยู่งั้นแหละ ไม่มีอาการกระดุกกระดิกไปไหนได้เลย ฉันชนะแล้วคราวนี้ โยม มันไม่ถูกว่ะ อันนั้น อุคหนิมิตเฉย ๆ นี่ มันไม่ใช่อย่างนั้น จิตมันไม่มีตัวไม่มีตน เพียงความรู้สึก อย่างเห็นรูปสวย ๆ น่ารักมันรัก เห็นของน่าอยากได้มันอยากได้ เขาด่าเราเสียดสี เราโกรธเกลียด ความรู้สึกที่ปรากฏขึ้นมา หักห้ามได้หรือไม่ อันนี้เป็นต้น ไม่ให้มันแสดงออกมาทางกายและวาจา ถึงแม้จะมีความรู้สึกเป็นปฏิคะส่วนภายในจิตใจ เมื่อมีความชำนาญสูงถึงจะไม่มีความรู้สึกเลย โยมต้องทำอย่างนี้ซี่ทีหลัง ข้า ๆ เข้าใจแล้วน่ะ ข้า เขาบอกเอาใหม่ เอา เอาใหม่ ทำใหม่ วันหลังได้ผลแล้วข้า ได้ผลแล้วทีนี้ ลองเล่าให้ฟังซิมันเป็นอย่างไง โอ้ยทีนี้หางไม่มีหรอก เอาอีกแหละ อุ้ยจบเลย กระโดดโน้นกระโดดนี่ เขาบอกหยุด แหมนั่งเลยเชียวล่ะ ขีดเส้นกบเลยล่ะทีนี้ หางไม่มี กระโดไปกระโดดมาแหม มันไวฉิบหายเลยกบ มันเป็นอย่างนั้น เพราะอาตมาชี้แจงว่าจิตเนี๊ยะ มันมีกิริยาไง อารมณ์เหมือนยังกับลิง ลิงนี้มันอยู่เฉยไม่เป็น มันจะดุกดิก ๆ ขึ้นกิ่งไม้บ้างก็ไม่ใช่จะไปนั่งอยู่เฉย ๆ เหมือนสัตว์อื่น กระโดดโน้นกระโดดนี่ หยิบโน้นฉวยนี่อยู่ตลอดเวลา กับเอาไอ้เหตุผลอันนี้ที่เราเปรียบเทียบเนี๊ยะ มาเป็นตัวดึงให้มันหยุด แปลกดีเหมือนกัน (โยมพูด เขาไม่เข้าใจคำว่านามธรรม กับ รูปธรรม) “ไม่เข้าใจ เราเปรียบเทียบกับลิง เอ่อ หมอ เราเปรียบเทียบกับลิงในจิต เลยเอาเหตุนิมิตเหมือนลิง หมดท่าเลย ลิงตลอดเวลา ผลที่สุดเราก็เห็น อาตมาเองก็ทำอย่างงี้ เราก็เลิกกันดีกว่า อาตมาว่าไม่ควรบำเพ็ญร่วมกัน เขาฟังกันไม่รู้เรื่องนี่ มันเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้น เรื่องการบำเพ็ญนี่ ความเข้าใจธรรมจากครูบาอาจารย์ อาตมาเองก็ว่าสาธุ ฟังธรรมท่านอาจารย์ใหญ่มั่นที่ฟังนี่ จิตมันเป็นสมาธิเราคล้ายๆกับว่าไม่ได้เอาหูฟัง แล้วมันน้อมลง อะไรเป็นอะไรนะ แหมมันกระจ่างจริงๆ มันเข้าใจ ว่าเวลานี้ท่านสอนใคร ท่านว่าอย่างไร พร้อมทั้งวันนี้เราคลุกคลีอยู่กับพระเณรเนี๊ยะ พระเณรองค์ไหนมีปฏิกริยาเช่นใด เราเคยพูดกันใน พาดพิงของเราได้ยินได้ฟังบ้าง ซึ่งเวลานี้ท่านอาจารย์ใหญ่มั่น กำลังเทศน์อยู่ไหม ใครแน่เราก็ฟัง อันนี้เป็นอุบายสอนประจำวันของพระองค์นั้น ทีนี้บางคนก็มักจะไปยืนหลักเอาสิ่งที่ท่านสอนพระ แก้ไข ในอารมณ์กำลังเกาะเกี่ยวกันอยู่ในปัจจุบันของพระองค์นั้นๆ มายืนหลักเป็นสิ่งข้อปฏิบัติมันไม่ถูก กิเลสมันไม่ได้มีอยู่ที่กายอย่างเดียว กิเลสมัน ๑๐๘ เอ่อ มันมา ๑๐๘ เลย หมายถึงความรู้สึกของจริต แล้วแต่สิ่งกระทบ หมายความว่าจริต ๖ อย่างนี้ อยู่ตลอดเวลาของเราไม่ อันหนึ่งขึ้น ก็อันหนึ่งขึ้น มันเปลี่ยนแปลงกันอยู่ตลอด เพราะฉะนั้น ยาทั้งหมดที่เราจะเอามาแก้เนี๊ยะ คำว่าโอสถ ๔๐ ชนิดขนานเนี๊ยะ ต้องเปลี่ยนกันอยู่ตลอดเวลา แต่ถ้าหาไป มีเหตุอันนั้นเกิดขึ้นมา เราก็พยายามเลี่ยง ก็เหมือนนักมวย วันนี้ขึ้นเวทีต่อย พอต่อยเรียบร้อยลงมา กระสอบทายเป็นอาจิณ ยืนซัดกันตุบตับ ไม่มีหยุดไม่มีหย่อนเลย เพราะฉะนั้น สรุปแล้วว้าไปถึงสุขจะปะสะโท เข้าสู่ขันตินิพพานที่เขาว่า สุขวิปะสะโกนอนแหง๋รอเวลา สติสัมฤธามีโอกาสที่จะช่วยพระพุทธเจ้าได้เพราะเป็นภิกษุผู้แตกฉานในทางธรรมวินัย อันนี้เค้าก็พูดอย่างนี้ ความจริงเขาอธิบายเหตุผลว่าผู้ที่เจริญ อนาปา ผู้ที่เจริญวิปัสนา แตกต่างกัน ผู้เจริญสมถะ จะมีความสงบสู่ฐาน จะเป็นไปได้เพื่อสติปะสัมพิติธา ผู้ที่เข้าวิปัสนาพิจารณาๆชัดๆ ปัดกระแสเลย จะตกสุขะวิปัสสะโต ได้ง่าย ความจริงสมถะ กับวิปัสสะนาต้องสัมพันธ์กันตลอดเวลากริยาที่ หมายความว่า กำลังนวดกระสอบทรายอยู่เนี๊ยะ เป็นกริยาของ สมถะ เวาลขึ้นตะบันหน้าบนเวที เรียกว่ากริยาของวิปัสนาคือหมายความว่า มีเหตุเกิดขึ้น เรากำลังวิจัยหาความจริง เค้าเรียกว่ากำลังเดินหาวิปัสสะนา คือ หาทางแก้ไข ในระหว่างรวมกำลังกันเรียกว่า สมถะ ริริยาของสมถะ การสงบลงนี่เรียกว่า สมถะ ตัวสมถะ อันนี้ต้องอยู่กันตลอดเวลา ทิ้งไม่ได้ ทีนี้บางคนเขาบอกว่าเมื่อสำเร็จมรรคผลแล้วเนี๊ยะ ไม่ต้องทำอะไรเลย หมดกิจวิธีที่จะต้องทำแล้ว แหมนี่ละยิ่งผิดใหญ่ ท่านอาจารย์ใหญ่ มั่น ท่านก็พูดเลยว่านั้นแหละคนเข้าใจผิด เมื่อมามองเข้าจริงๆแล้วหมด เป็นความจริงเสียด้วย ที่แรกอาตมาก็เข้าใจว่าสำเร็จมรรคผลแล้วจะไปทำทำไม ไม่มีทางที่จะต้องทำหลอกหมดแล้วก็แล้วกันไป ไม่ต้องทำหมดกิจที่จะต้องทำแล้ว โอ พอบทที่พิจารณาจริงๆแล้วไม่ใช่ ท่านผู้ที่รู้ผู้ที่เห็นเข้าใจอย่างอาจารย์ใหญ่ มั่น เป็นพระอรหันต์ท่านเนี๊ยะ ท่านยังขยันยิ่งกว่าเราอีก ขยันมากทีนี้อาจมาก็มาพิจารณานั่งหลับตาไล่ไปไล่มา เอ่อ หาเหตุผลจากพระพุทธเจ้า หาเหตุผลจากพระอริยะเจ้า สำหรับพระผู้สำเร็จมรรคผล แล้วนอนรอวันตายมีใครบ้าง ไล่ไปไล่มา ไล่ไป ไล่มา สรุปแล้ว ไม่มีๆไม่มี่มีนอนรอวันตาย เรามานึกถึงองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ผู้พระบิดาของพวกเรานี่ซิ ในวันยศะกุลบุตรจะออกบวช พระพุทธเจ้าอยู่อริยาบทเช่นใด อันนี้หมอพอเข้าใจชัดอยู่แล้ว อันนี้ พระพุทธเจ้าเดินจงกรมอยู่ใช่ไหม น่ะ เราเอาแต่เนี๊ยะ เราเอาแค่เนี๊ยะ เอาแต่นี้ก็ได้ความแล้ว การนั้นพระพุทธเจ้ากำลังเดินจงกรมอยู่ในอาริยาบทเดินอยู่นั้น กำลังเดินจงกรมอยู่ รอเวลาที่จะสว่างแล้วก็จะเดินไปบิณบาตร ยศะกุลบุตร บอกมาที่นี้ขัดข้อง ที่นี่วุ่นวาย พระพพุทธเจ้าบอกว่า ที่นี่ไม่ขัดข้องที่นี่ไม่วุ่นวายท่านเข้าเถอะ ท่านเดินจงกรมเถอะ พระสารีบุตร เอ่อ โอพอ ยศะกุลบุตรเข้ามา ท่านก็ไปนั่งพอดีเลย เดินเข้ามาหาท่านก็เทศน์ให้ฟัง แล้วรู้สึกมีศรัทธา อันนี้ๆ มันชัดเหลือเกิน ชัดไหม แหมนี่ คนนอนรอวันตายตั้งหลายแสนคน ขี้เกียจนี่ ได้เรื่องอะไร เห็นไหม อาจารย์ใหญ่มั่น โอ้โฮ ท่านเดินจงกรมของท่าน พอว่างปั๊บ ท่านเดินจงกรมของท่าน เสร็จนั่ง นอกจากวันนี้พระแขกมาปุ๊บท่านก็หยุดแล้ว แต่พระแขกแวะมาเยี่ยมแทบทุกวัน มาเยี่ยมทุกวัน พอเทศน์ให้ฟังเสร็จเรียบร้อยปั๊บ พระแขกเลิกกันปั๊บ นั่งทันทีเลย นอกจากท่านจะนั่งแล้วท่านจะลงไปเดิน นี่อย่างนี้ แก่จนกระทั่งอายุ ๘๐ ปีนั้นแหละ จนกระทั่งตายเสียแล้ว พอถึงเวลาปัดกวาด จับไม้กวาดจะฝาดเอา ฝาดเอาไม่ได้ไง ตีระฆังรอเหมือนอย่างวัดเขาสุกิมหรอก วัดเขาสุกิมตีระฆัง พอได้เวลามีเจ้าหน้าที่ตี เพราะมันอยู่ไกลกันเหลือเกิน ไม่รู้ใครเป็นใคร ตีระฆัง โป้งๆ พรวดอันนี้ ฟังเสียงไม้กวาด อาจารย์ มั่นก็แล้วกัน ปั๊บ พระเณรนี่ผึบเลย เพราะวัดมันแคบๆ เห็นกัน ไม่มีเลยที่ท่านจะหยุด แหมขยันจริงๆ ไม่มี ไม่มีที่ไหนเปรียบ เป็นแม่พิมพ์อาจารย์ มั่นเป็นแม่พิมพ์ ยืนปั๊บเป็นแม่พิมพ์ที่ดี ท่านต้องพยายาทำเป็นตัวอย่างของพระเณร ตั้งแต่ปัดกวาด บิณบาตร ทุกอย่างรวมแล้ว ไม่มีเลย อะไรให้ที่จะว่าบกพร่อง อย่างอาตมาเนี๊ยะขี้เกียจหลังยาว เทียบแล้ว ๑๐๐% อาตมาได้อย่างมากไม่เกิน ๕% ๙๕% เนี๊ย หล่นไปเลยแพ้ท่าน แพ้ท่านถึง ๙๕ ต่อ ๐ ตัวเองก็ได้แค่ ๕–๑๕%เท่านั้น ๕% เท่านั้นจริงๆ เพราะฉะนั้น สรุปแล้วก็หมายความว่า เรามาเอาเพียงแค่ ๕–๑๕% นักศึกษาทั้งหลาย หรือภิกษุทั้งหลาย ซึ่งเข้าใจความเป็นจริงอันนั้นของเขา ความเป็นจริงของเราแล้ว คนละอย่างกันเลย หมอว่าแปลกไหม หมอฟังดีๆน่ะ ฟังนานๆน่ะ อาตมาพูดแปลกๆน่ะ พูดแปลกๆ มีพลโทหม่อมเจ้าประเสริฐศรี ราชองค์ขรักษ์พิเศษของนายหลวงฟังด้วย เอ่อ ทำไมท่านแปลกโว้ย ท่านว่า ผมศึกษาธรรมะมาตั้งแต่เล็กจนโต ผมชอบเหลือเกินธรรมะ ครูบาอาจารย์ที่มีชื่อเสียงเชี่ยวชาญ ผมถึงเขาแทบทั้งนั้น และก็พระที่เข้าไปเทศน์ในพระราชวัง ถามแล้ว ทำไมมา ถามท่านมันช่างแปลกมาก แปลก แหมเอาอาตมาน่าดูเหมือนกัน อาตมาก็ตอบหน้าดูเหมือนกัน แหมรู้สึกว่ามันตอบได้ดีด้วย อาตมาก็ว่าตามภาษา ตามความคิดของตัวเอง ท่านบอก อื่อๆดีดีมาก อัดไปทุกอย่างไปเปิดที่วังลัทธิของราชวังตาจิตมีอีกลัทธิหนึ่งน่ะ เราจะเข้าไปพัก ก็คู่ควร เพราะคล้ายๆ กับว่าว่าเป็นสถานที่พักวินิหายริยะธรรมของจิตชั่วระยะหนึ่ง เมื่อเราได้กำลังแล้วเราถึงจะออกมาดำเนินต่อ เพื่อดำเนินเพื่อการบรรลุต่อไปได้ เพราะเราจะประคองจิตของเราแจ๋ว ไม่ให้วอกแวกไปสู่อารมณ์สัญญา เวลาเรา เราจะนั่งลงนี่ มีลักษณะการลงของเขามันมีลักษณะการบอกหลายอย่าง บางทีขนตั้ง โซ๋ ซ่า ขนหัวตั้งเต็ม อย่างนี้ก็มี แต่บางทีรู้สึกเหมือนกายเอนไปนิดๆก็มีแต่เป็นความรู้สึกที่เขวล่ะ บางทีคล้ายกับก้มไปข้างหน้านิดๆ บางทีมันโยก โครง หยุกยักๆก็มี พอเรามองปั๊บ มันจะหยุด แล้วมันจะลง ลักษณะของการลงเหมือนเราลงลิฟท์ ปิ๊บ ไปตามความรู้สึก พอถึงฐานปุ๊บ ก็หยุด พอหยุดปุ๊บก็ปรากฏผล พูดเฉพาะผลเบื้องต้นที่มันเกิดปุ๊บ แต่ส่วนอื่นที่มันมา
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น