พระอาจารย์สมชาย ฐิตวิริโย
ตอบปัญหาธรรมแก่อุบาสกผู้สงสัย
(ภาคที่สาม)
๑๐ พฤศจิกายน ๒๕๐๘ ณ วัดเขาสุกิม
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ กระผมเห็นภาพพุทธประวัติ ภาพประสูติปรากฏว่ามีดอกบัวเจ็ดดอก คงมีความหมายว่าดอกบัวนี้รองรับเมื่อพระราชกุมารก้าวย่างไป เพราะกระผมได้ยินเขาว่าเมื่อพระราชกุมารประสูตินั้น พระราชกุมารก้าวเดินไปได้เจ็ดก้าว และกล่าวคาถาเจ็ดตัว นี่ประการหนึ่ง อีกประการหนึ่งว่าพระพุทธเจ้าเสด็จไปไหนจะมีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับฝ่าพระบาททุกก้าวย่าง และพระองค์ประทับนั่งตรงไหนก็มีดอกบัวผุดขึ้นมารองรับทุกครั้ง และเวลาพระองค์บรรทมก็ปรากฏดอกบัวผุดขึ้นมารองรับเสมอใช่ไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อุบาสกอย่างมงาย อาตมาจะนำเหตุผลของสมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส เล่าสู่กันฟังดังต่อไปนี้ ข้อนี้เทียบได้กับการตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งเรียกว่าเกิดด้วยนามกาย พระองค์ตรัสรู้ ณ จังหวัดคยา อันเป็นหนใต้ ทรงบำเพ็ญพุทธกิจเสด็จเที่ยวประกาศพระศาสนาไปหนเหนือแล้ว เสด็จด้วยพระบาท บ่ายพระพักตร์สู่อุดรทิศ ย่างพระบาทได้เจ็ดก้าวนั้น น่าจะทรงแผ่ศาสนาแพร่หลายในเจ็ดชนบท หรือเพียงเสด็จด้วยพระองค์เอง ลองนับประมาณก็ได้เช่นนั้น นับชนบทที่อยู่ในอาณาจักรเดียวกันเป็นหนึ่ง คือ กาสีกับโกศลหนึ่ง มคธกับอังคะหนึ่ง สักกะหนึ่ง วัชชีหนึ่ง มัลละหนึ่ง อังสะหนึ่ง กุรุหนึ่ง รวมเป็นเจ็ด นอกจากนี้มีแต่ชนบทน้อยที่ขึ้นในชนบทใหญ่ ทรงหยุดเพียงนี้ไม่ก้าวต่อไป นี่เป็นเหตุผลของสมเด็จพระมหาสมณเจ้า และที่ว่าดอกบัวผุดรับ คือ พระพุทธองค์สมควรแก่เครื่องบูชาอันประเสริฐ คือ ดอกบัว เพราะคนสมัยนั้นแบ่งชั้นวรรณะให้รู้ว่าใครเป็นใคร จึงเป็นเหตุให้มีวรรณะสี่เหล่า พวกของใครพวกของเขาไม่ปะปนกัน ฉันใด เรื่องการบูชาเขาถือขลังฉันนั้น ตัวอย่าง ใครเป็นผู้สมควรแก่เครื่องบูชาอันประเสริฐคือดอกบัว จะต้องเป็นผู้ประเสริฐ เพราะการบูชาเขาจัดเป็นสัญลักษณ์ไว้ว่า เป็นผู้ประเสริฐหรือไม่ประเสริฐ เพราะพระพุทธองค์คู่ควรแก่ดอกบัว คนทั้งหลายจึงนิยมบูชาพระองค์ด้วยดอกบัว เขาถือดอกบัวเป็นของสำคัญมากในสมัยนั้น แม้แต่พระพุทธองค์ในคราวตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ทรงท้อพระทัยในการจะประกาศพระศาสนา เพราะธรรมะเป็นของลึกซึ้งคัมภีรภาพมากมายยากที่บุคคลจะตรัสรู้ตามได้ พระองค์จึงนึกถึงอุปนิสัยของเวไนยสัตว์เทียบได้กับดอกบัวสี่เหล่า ให้อุบาสกคิดอย่างนี้แล้วกัน
อุบาสกกราบเรียน ความจริงน่าจะมีดอกบัวรองรับจริงนะครับท่านอาจารย์ กระผมดูภาพพุทธประวัติแล้วมีรูปดอกบัวรองรับพระองค์อยู่เสมอไป เป็นภาพที่เขียนขึ้นในประเทศเราก็ดี หรือเขียนขึ้นจากต่างประเทศก็ดี เห็นมีอยู่อย่างนั้นครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ คนที่ไม่รู้จริงเขียนขึ้นก็ได้ อุบาสกดูภาพพุทธประวัติที่มีรูปเทวดาประกอบในภาพ จะเป็นเทวดาไทย เทวดาแขก เทวดาพม่า และเทวดาจีน เหล่านี้ รูปของเทวดาจะเหมือนกันไหม ตลอดของที่ถืออยู่ในมือ ดูให้ทั่วถึงอุบาสกจะเห็นเป็นอย่างไร เรื่องที่เขียนเกี่ยวกับดอกบัวมีความหมายอย่างที่อาตมาอธิบายมานี้แหละ นอกกว่านั้นอาตมาไม่เห็นด้วย เพราะอาตมามีเหตุผลอย่างนี้ พวกเบญจวัคคีย์ห้ารูป บวชรอคอยการตรัสรู้ของพระมหาบุรุษ ในสมัยหนึ่งพระภิกษุเหล่านั้นเคยอยู่ร่วมและได้อุปัฏฐากในขณะที่พระมหาบุรุษกำลังทำทุกกรกิริยาอยู่ ต่อมาพระองค์เลิกจากการทรมานอย่างนั้น เสวยพระกระยาหารวันละครั้ง จึงเป็นเหตุให้เบญจวัคคีย์หนีจากพระองค์ไป เพราะท่านทั้งหลายเหล่านั้นเห็นว่าพระองค์เลิกจากความเพียรเวียนมาหาความมักมาก จึงพากันหนีไปอยู่ในป่าอิสิปตนมฤคทายวัน แขวงเมืองพาราณสี ทิ้งพระมหาบุรุษไว้องค์เดียว พระองค์เลิกจากการทรมานอย่างที่ทำมาแต่ก่อนนั้น หันมาบำเพ็ญในทางจิตใจ จึงเป็นเหตุให้พระองค์สำเร็จมรรคผล เมื่อพระองค์สำเร็จมรรคผลแล้ว พูดเฉพาะคราวเสด็จไปโปรดเบญจวัคคีย์ พวกเบญจวัคคีย์ไม่เชื่อว่าพระองค์ตรัสรู้ เมื่อพระองค์เสด็จไปถึงพวกเบญจวัคคีย์ได้สังเกตเห็นอะไรบางอย่างแสดงว่าพระองค์มิได้ทรงเป็นอย่างที่เขานึกมาแต่ก่อน บัดนี้มีอะไรบางอย่างปรากฏอยู่ที่พระองค์เป็นความสง่างามและสูงส่ง มีแววแห่งความประเสริฐอย่างที่ท่านเหล่านั้นไม่เคยเห็นมาก่อน นักบวชทั้งห้านั้นมีความตื่นเต้นในใจจนกระทั่งลืมตนเองและข้อที่ได้ตกลงกันไว้ พากันกระทำทุกสิ่งทุกอย่าง ที่ตนเองเคยปฏิบัติต่อพระมหาบุรุษมาก่อน บางท่านได้เดินไปต้อนรับพระองค์ถวายความเคารพและรับบาตรจีวรจากพระองค์ด้วยความนอบน้อม บางท่านรีบตระเตรียมอาสนะเสียใหม่เป็นพิเศษสำหรับพระองค์ และบางท่านรีบไปหาน้ำมาชำระพระบาทของพระองค์ เมื่อพระผู้มีพระภาคเจ้าประทับบนอาสนะซึ่งนักบวชทั้งห้าจัดถวายแล้วตรัสว่า ดูกรพวกท่านทั้งหลายเราได้พบหนทางแห่งอมตธรรมแล้ว เราจะบอกพวกท่านทั้งหลาย ถ้าท่านทั้งหลายฟังและศึกษาพร้อมปฏิบัติตามที่เราพูด ไม่นานเลยท่านทั้งหลายจักรู้ได้ด้วยตนเองไม่ต้องรอถึงชาติหน้า ว่าถ้อยคำที่เรากล่าวนั้นเป็นความจริงเพียงใด และท่านทั้งหลายจะเข้าถึงสิ่งซึ่งอยู่เหนือกฎแห่งความเกิด ความแก่ ความเจ็บ ความตาย อันเรียกว่ากฎธรรมดาได้ด้วยตนเอง เป็นธรรมดาอยู่เองที่นักบวชทั้งห้าจะต้องมีความฉงนสนเท่ห์เป็นอันมากในการได้ฟังพระองค์ตรัสเช่นนี้ เขาเหล่านั้นได้เห็นพระองค์บำเพ็ญเพียรอดอาหารและทรมานพระวรกาย แล้วมาเลิกเสียเพื่อให้บรรลุธรรม ณ บัดนี้ยังมาบอกแก่เขาว่าพระองค์ได้บรรลุธรรมนั้นแล้วด้วย นักบวชเหล่านั้นไม่ยอมเชื่ออย่างง่าย และกล่าวโต้ตอบพระองค์นานาประการ นี่แหละเรื่องนิสัยของปุถุชนย่อมกลับกลอกง่ายอย่างนี้ ยังแถมกล่าวว่า “เพื่อนโคตมะ” ทำไมเล่าเมื่อพวกเราอยู่กับท่าน ท่านปฏิบัติอย่างเคร่งครัดในการบำเพ็ญเพียรทรมานกายทุกชนิด ดังเช่นนักบวชทั้งหลายบำเพ็ญเพียรกันอยู่ทั่วชมพูทวีป พวกเราจึงได้นับถือท่านเป็นอาจารย์ผู้สั่งสอน ท่านบำเพ็ญเพียรอย่างเคร่งครัดอย่างนั้นแล้วยังไม่บรรลุธรรมอย่างที่ท่านปรารภอยู่นี้ มาบัดนี้ท่านจะมาบรรลุธรรมนั้นได้อย่างไร ในเมื่อท่านกลับมาเป็นคนมักมากละทิ้งความเพียรเสีย แล้วหมุนไปหาความสะดวกสบายตามใจเช่นนี้ พระพุทธองค์ตรัสตอบว่า ท่านทั้งหลายพวกท่านเข้าใจผิด เราไม่ได้ละความเพียรแต่อย่างใดเลย เราไม่ได้อยู่อย่างหลงใหลตามใจตนเองเอาแต่สนุก “จงฟังเราสอน” เราได้บรรลุวิชชาและญาณอันสูงสุดแล้วจริง เราสามารถสอนท่านทั้งหลายให้ท่านทั้งหลายบรรลุธรรมนั้นได้โดยตัวท่านเอง นักบวชทั้งห้าเหล่านั้นไม่สามารถจะปลงใจเชื่อถ้อยคำของพระองค์ ภาพเดิมปรากฏแก่เขาในทำนองที่จะเป็นไปไม่ได้ แม้พระองค์จะทรงขอร้องให้คนเหล่านั้นเชื่อฟังอีกครั้งหนึ่ง เขาก็ยังไม่อาจเชื่อ เมื่อพระองค์ทรงเห็นว่า พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้น ไม่ยอมเชื่อว่าพระองค์ทรงบรรลุธรรมที่อยู่เหนือกฎแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย จริงๆ แล้ว พระองค์ทรงหลับพระเนตรอย่างเอาจริงเอาจังพร้อมทั้งตรัสว่า “ท่านทั้งหลายจงฟังเราก่อน จงนึกดูให้ดีๆ ว่าตลอดเวลาที่พวกท่านทั้งหลายอยู่กับเราในครั้งกระโน้น เราได้เคยพูดเช่นนี้กับพวกท่านทั้งหลายบ้างหรือเปล่า เราได้เคยบอกพวกท่านทั้งหลายว่าเราได้บรรลุวิชชาและญาณอันสูงสุดอันทำให้อยู่เหนือกฎแห่งความเกิด แก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้หรือเปล่า จงคิดดู” พวกนักบวชทั้งห้าได้ตอบพระองค์ว่าเป็นความจริง พระองค์ไม่เคยทรงตรัสเช่นนี้แก่พวกเขามาก่อนเลย พระองค์ตรัสต่อไปว่า.. “บัดนี้ จงฟังเราก่อน ในเมื่อเรายืนยันว่าได้บรรลุหนทางแห่งอมตะแล้วจริงๆ จงฟังให้รู้ว่าเราได้พบอะไร อย่างไรเสียก่อนจะดีกว่า” พระองค์ได้ตรัสถ้อยคำเหล่านี้อย่างองอาจและตรึงใจ ขณะเมื่อพระองค์ตรัส พระองค์ได้ลืมพระเนตรริบหรี่ด้วยลักษณะของบุคคลผู้ที่มีความเมตตา และซื่อตรงอย่างบริสุทธิ์ จนนักบวชเหล่านั้นหมดความสงสัย ไม่ปฏิเสธในการตั้งใจฟังพระองค์อย่างแท้จริง อุบาสกฟังแล้วได้ความว่าอย่างไร เรื่องความมหัศจรรย์ที่ปรากฏในสายตาและในหูเบญจวัคคีย์ ปรากฏว่ามีดอกบัวไหมตัวอย่างเบญจวัคคีย์จัดอาสนะถวายพระพุทธองค์ใหม่ และการตักน้ำชำระพระบาท ถ้าพระองค์เสด็จมาบนดอกบัวจริงแล้ว คงไม่มีการชำระพระบาท เมื่อพระองค์เสด็จขึ้นอาศรมที่จัดอาสนะพระองค์ประทับนั่งบนอาสนะไม่เห็นว่าประทับที่ดอกบัว และในสมัยหนึ่ง พระองค์บรรทมกลางวัน สั่งให้พระอานนท์เถรเจ้านำผ้าสังฆาฏิปูลาดให้บรรทม อุบาสกคิดเองความจริงจะมีอย่างไรกันแน่
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ ถ้าหากเป็นความจริงอย่างที่ท่านอาจารย์ว่ามานี้ ในตำราที่เขียนไว้จะไม่แย่หรือครับ เรื่องอย่างนี้นะครับกระผมเห็นว่าสำคัญมาก เมื่อไม่จริงอย่างที่ช่าง เขียนภาพเขียนแล้ว กระผมพูดไม่ออก ไม่รู้ว่าจะให้กระผมพูดอย่างไร คนที่เขียนตำนานก็ยกย่องเกินไป กระผมบอกไม่ถูก จะเป็นเหตุให้สิ่งทั้งปวงตลอดถึงคุณความดีของพระองค์พลอยไม่มีความหมายไปด้วย เมื่อคนที่ศึกษาตามหากเห็นตรงนั้นก็บกพร่อง ตรงนี้ก็บกพร่อง เหตุผลไม่สมบูรณ์ อาจเป็นเหตุให้เชื่อไม่ได้ ควรพูดตามความเป็นจริง แท้ที่จริงพระพุทธเจ้าเป็นผู้รู้วิเศษจริงๆ นะครับท่านอาจารย์ แต่สำคัญคนที่ไปหาเก็บอะไรๆ ที่นอกเหนือจากความเป็นจริงที่พระองค์ทรงกล่าวไว้ สิ่งที่ไม่มีในพระองค์ แต่คนที่ไม่รู้จักดีกลับเห็นว่าพระธรรมที่พระองค์ประกาศไว้และความเป็นอยู่ของพระองค์ก็ดีความจริงมีเพียงเท่านี้ แต่มนุษย์ที่ไม่รู้เรื่องมาจับแต่งใหม่เพิ่มเติมเสียจนดูไม่ได้เลยครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ถูกแล้วอุบาสก เขาแต่งปีกแต่งหางให้ใหม่เพิ่มมากไปเลยหนักมากไปเป็นเหตุให้บินไม่ขึ้น
อุบาสกกราบเรียน กระผมว่าอย่างนั้นแหละครับท่านอาจารย์ กระผมได้ยินมาว่าพระยามารมาสู้รบกับพระพุทธเจ้าในวันพระองค์ตรัสรู้ครั้งแรก ลูกสาวของพระยามารสามคน คือ นางราคา นางตัณหา นางอรดี มาเต้นรำทำการยั่วยวนเพื่อต้องการให้พระองค์หลงใหลไปตาม พระองค์ก็ไม่หลง ต่อมาพระยามารธิราชยกขบวนทัพมาเอง เลยต่อสู้กันเป็นการใหญ่ จริงไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ พระยามารและลูกสาวของพระยามารต่อสู้กันจริงอุบาสก แต่จะเป็นมารตัวเดียวกันหรือเปล่าก็ไม่ทราบ มารที่อุบาสกว่านี้เขามาแย่งอะไรจากพระมหาบุรุษเล่าอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาว่ามาแย่งรัตนบัลลังก์ครับ
หลวงปู่ตอบ พระพุทธองค์ได้รัตนบัลลังก์มาอย่างไรอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน โสตถิยะนำหญ้าแฝกแปดฟ่อนมาปูถวายให้พระองค์ประทับ และกลายเป็นรัตนบัลลังก์ ครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ หญ้าจะกลายเป็นรัตนบัลลังก์ได้อย่างไรอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาบอกว่าเป็นได้ด้วยบารมีของพระองค์ เขาบอกว่าอย่างนั้นครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ถ้าเป็นอย่างนั้นมันจะมาแย่งพระองค์ทำไมกัน
อุบาสกกราบเรียน มันบอกว่าของมันครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ สมบัติของมหาเศรษฐีมากมาย พระยามารไม่คิดแย่งสมบัติของเขาเหล่านั้น พระยามารโง่เหลือเกิน ของได้ง่ายๆ ไม่เอา ไปเอาของที่ได้ยาก เขาว่าพระยามารบ้านเขาอยู่ที่ไหนอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาบอกว่าอยู่ชั้นพรหมโลกครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ พระยามารเหล่านั้นได้ใช้อะไรเป็นพาหนะอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาขี่ช้างครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ชั้นพรหมโลกเขาขี่ช้างเป็นพาหนะ ชั้นสวรรค์เขาขี่อะไรเป็นพาหนะเล่าอุบาสก ขนาดชั้นพรหมโลกยังขี่ช้างเป็นพาหนะอยู่ ดูๆ จะสู้เมืองมนุษย์ไม่ได้กระมังนะ
อุบาสกกราบเรียน จะสู้ไม่ได้อย่างไรครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ เมืองมนุษย์ พระราชาหรือท่านนายกและคนอื่นๆ อีกมากมาย ท่านทั้งหลายเหล่านั้น เขาเลิกช้างม้าและเกวียนเป็นพาหนะเสียแล้วทุกวันนี้ เพราะท่านทั้งหลายนั้นไม่ต้องการเลี้ยงมันให้เหนื่อยยาก
อุบาสกกราบเรียน กระผมเชื่อผิดๆ เสียแล้วครับท่านอาจารย์ เชื่อคนโดยขาดเหตุผล เรื่องพระยามารมีอย่างไรครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ขี้โหดสามานย์ไม่รู้ดีรู้ชั่วอย่างพระยามารจะไปอยู่พรหมโลกไม่ได้เป็นอันขาด และพรหมโลกไม่มีสามีภรรยา พระยามารมีลูกสาวถึงสามคน มีอย่างที่ไหนอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน กระผมหลงเชื่อผิดๆ อีกแล้วครับท่านอาจารย์ ขอท่านอาจารย์เล่าถึงเรื่องพระยามารให้กระผมฟังด้วยครับว่าหมายถึงอะไร
หลวงปู่ตอบ วันที่พระมหาบุรุษได้ตรัสรู้ พระองค์เล่าถึงพระยามารที่มาเบียดเบียนพระองค์นั้นหมายถึงกิเลสต่างหาก พระพุทธองค์ได้ทรงตรัสในบทธรรมเป็นคาถาบาลีว่าดังต่อไปนี้ ทุรงฺคมํ เอกจรํ อสรีรํ คุหาสยํ เย จิตฺตํ สญฺญเมสฺสนฺติ โมกฺขนฺติ มารพนฺธนา. แปลว่า ชนทั้งหลายใดจักระวังจิตซึ่งไปรับอารมณ์ในที่ไกล เที่ยวไปดวงเดียว ไม่มีสรีระ มีคูหาเป็นที่อยู่อาศัยได้ ชนทั้งหลายนั้นจะพ้นจากเครื่องผูกมัดคือมาร ถ้าพูดให้ฟังง่ายๆ ว่า “ผู้ใดรักษาจิตอยู่เสมอผู้นั้นย่อมพ้นจากบ่วงของมาร” วิธีตามรักษาอย่างที่เคยเล่าให้อุบาสกฟังมาแล้ว พระองค์ว่าพระยามารหมายกิเลสมารต่างหาก พระยามารคือผู้ก่อกวน ผู้ก่อกวนได้แก่กิเลสเป็นตัวก่อกวน อย่างที่เคยเล่าให้อุบาสกฟังมาแล้วข้างต้นนั่นแหละ
อุบาสกกราบเรียน พระยามารที่มาจากทางอื่นเป็นตัวตนจริงๆอย่างที่เขาเล่ากันนั้นไม่จริงหรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่มี ถึงแม้คนจะเป็นพระยามารมาก่อกวนก็มาด้วยกำลังของกิเลส อุบาสกลองนึกดู ชื่อลูกสาวของพระยามารสามคน เช่น นางราคาอย่างนี้ ราคาได้แก่ราคะ ราคะได้แก่ความกำหนัดในกามารมณ์นั่นเอง นางตัณหาได้แก่ตัณหา คือความทะยานอยากหรือความดิ้นรนของจิตที่แสดงอารมณ์ที่ชอบ นางอรดีได้แก่อรติ คือความไม่พอใจ หมายความว่าจิตไม่พอใจในการบำเพ็ญของพระองค์ เป็นชื่อของกิเลสแต่ละตัว อย่างนี้แหละอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน ถูกของท่านอาจารย์ครับ กระผมเข้าใจเกินความเป็นจริง คนที่เข้าใจอย่างกระผมนี้คงจะมีอีกมากครับท่านอาจารย์ เมื่อเรื่องนี้เข้าใจไม่ถูกเรื่องอื่นอีกคงจะตีความหมายเลยเถิดเหมือนกัน ทำไมพระพุทธเจ้าจึงตรัสไว้อย่างนั้น พระองค์ไม่กลัวคนจะเข้าใจผิดหรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ พระพุทธองค์อาจจะไม่ได้ตรัสอย่างนี้ บางทีอาจเป็นพระคันถรจนาจารย์เขียนขึ้นตามยุคตามสมัย เพราะบางสมัยคนนิยมเป็นปริศนาบ้าง เป็นนิยายบ้าง ชอบกันอย่างนั้น ท่านก็เขียนไปตามความต้องการของคนสมัยนั้น แต่สมัยนี้ชอบเหตุผลง่ายๆ ให้รู้ง่าย เห็นง่าย อย่าให้เสียเวลามากสำหรับศึกษา เพราะสมัยนี้เป็นสมัยรีบด่วน การรีบด่วนของพระพุทธองค์ชอบ แต่ต้องรีบในสิ่งที่ควรรีบ ช้าในสิ่งที่ควรช้า
อุบาสกกราบเรียน คนที่กลัวพระยามารหาทางป้องกัน แม้กระทั่งพระที่จะนำพาญาติโยมทำบุญบางแห่งท่านจะต้องนำโยมไปแห่พระอุปคุตต์มาจากบ่อหนอง นำท่านมาเพื่อจะให้ท่านป้องกันพระยามารอย่าให้มาก่อกวนในงานกุศลเหล่านี้เป็นต้น ก็เข้าใจผิดมิใช่หรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ เข้าใจผิดอุบาสก อาตมาไม่เห็นพระยามารที่ไหนเลยที่จะมาทำความเดือดร้อนในการบำเพ็ญกุศล หรืออื่นๆ อีกก็ดี เรื่องคนที่อาศัยกิเลสนำพานั้นแหละมาทำความวุ่นวายไม่ให้ได้รับความสะดวกในงานนั้นๆ
อุบาสกกราบเรียน ความจริงอย่างที่ท่านว่านี้ ถูกแน่ครับ คนที่กลัวสิ่งที่ไม่มีและกลัวสิ่งที่ไม่เคยทำความเดือดร้อนให้เลย แต่สิ่งที่ก่อกวนและทำความเดือดร้อนให้จริงๆ กลับไม่กลัว และไม่หาทางป้องกันเสียอีก ปล่อยให้กิเลสมันเล่นงานเสียจนแย่ นี่แหละของควรกลัวกลับกล้า ของที่ไม่น่ากลัวกลับกลัวกันหนักหนา คนเรากลัวผิดเสียส่วนมากนะครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ถูกแล้วอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับตัวอย่างพระสร้างโรงมหรสพหรือโรงอะไรต่ออะไรไว้ในวัดจะสมควรไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ท่านสร้างไว้เพื่ออะไร
อุบาสกกราบเรียน ไว้เพื่อเผยแพร่พระศาสนาครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ พระพุทธเจ้า พระอริยเจ้า ท่านไม่เห็นดำเนินอย่างนั้น เรื่องที่พระพุทธเจ้าไม่บัญญัติ มาบัญญัติขึ้น เรื่องที่พระองค์ไม่อนุญาตมาอนุญาตจะไม่ดีกระมังอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน ในสมัยนั้นไม่เจริญถึงสมัยนี้หรืออย่างไรครับท่านอาจารย์ เพราะวิทยาศาสตร์ยังไม่เจริญจึงไม่ได้นำวิทยาศาสตร์ไปช่วยประกาศพระศาสนา
หลวงปู่ตอบ อย่างอื่นถมไป เมื่อพระพุทธองค์ทรงเห็นว่าจะเป็นประโยชน์แก่ผู้ปฏิบัติ แต่โดยส่วนมาก พระองค์ตำหนิเพราะเป็นการก่อความวุ่นวาย และพระอริยสงฆ์อื่นๆ ก็ไม่เห็นท่านดำเนินอย่างนั้นเลย หรือท่านอาจมีญาณฌานสูงกว่าพระพุทธองค์และพระอริยสงฆ์อื่นๆ ก็บอกไม่ถูกนะ
อุบาสกกราบเรียน คำที่ท่านอาจารย์ว่าอาจมีฌานสูงกว่าพระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าก็บอกไม่ถูก หมายความว่าอย่างไรครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ตัวอย่าง ทางที่ท่านดำเนินนอกแบบนอกรอยของพระพุทธเจ้า และยังไม่เคยมีพระอริยเจ้าองค์ใดในโลกดำเนินมาก่อน ท่านมาดำริขึ้นซึ่งเป็นทางไม่ซ้ำรอยใคร หมายถึงรอยพระอริยเจ้า มีพระพุทธเจ้าเป็นประธาน แสดงให้เห็นว่าท่านเป็นผู้มีญาณมีฌานสูงกว่า เพราะเข้าใจดีกว่า หมายความว่าทางเผยแพร่สัจธรรมยังไม่มีใครดำเนินในทางนี้ เพราะว่าท่านองค์อื่นไม่เห็นว่าจะเป็นประโยชน์ แต่ท่านมองเห็นเป็นประโยชน์ว่าดำเนินอย่างนี้เป็นการย่นทางเข้าสู่พระนิพพาน และยืมอุปกรณ์ของโลกมาเป็นเครื่องมือก็สำคัญอยู่เหมือนกัน แต่สำคัญอยู่ที่เปิดทางแพ่งใหม่ ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่เคยเปิดเลยและไม่เคยแตะต้องเสียด้วย พระพุทธองค์ทรงรอบคอบเสมอด้วยพระญาณที่ยาวไกลไปในอนาคตและอดีต แต่เหตุใดคราวนี้จึงเปิดทางให้สาวกไม่หมด มองข้ามสิ่งที่ควรจะเห็นว่าเป็นประโยชน์ให้กับพุทธบริษัท เป็นไปได้หรือว่าพระองค์กลับเห็นตรงกันข้ามถ้าเป็นประโยชน์จริง ในสมัยหนึ่งที่พระเทวทัตขอให้พระองค์ดำเนินตามทัศนะของท่าน แต่พระพุทธองค์ไม่เห็นด้วย พระเทวทัตเห็นว่าพระพุทธองค์ช่างไม่รู้ทางที่จะเป็นประโยชน์ พระเทวทัตจึงไม่ยอมเดินตามยุคลบาทของพระพุทธองค์ แล้วเปิดทางแบบใหม่เดินเองเป็นการแข่งขันกับพระพุทธเจ้า เพื่อจะเปรียบเทียบกับพระพุทธองค์ ที่ทรงนำพาพุทธบริษัทของพระองค์ให้ดำเนินตามทัศนะของพระองค์ และพระเทวทัตที่คิดว่าเป็นพระพุทธเจ้าผู้มีญาณฌานสูงกว่าพระโคดมพุทธเจ้าก็นำบริวารของตนเปิดทางใหม่สู้กับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าถึงนิพพาน พระเทวทัตผู้รู้ดีกว่าพระโคดมพุทธเจ้าตกมหาอเวจีไปคนละทางกัน สมัยนี้ผู้เห็นตรงกันข้าม ไม่ยอมเดินตามพระพุทธองค์ และเปิดทางใหม่เดิน จะเป็นอย่างไรอาตมาไม่ทราบเหมือนกัน
อุบาสกกราบเรียน ปุถุชนที่ไม่โกรธ ไม่รัก อยู่เฉยๆ บางคนเขาว่าได้ชิมลองรสพระนิพพานใช่ไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่ใช่อุบาสก ผู้ชิมลองรสพระนิพพานคือพระอรหัตมรรค ปุถุชนมีกิเลสท่วมหัวอยู่ ไม่มีทางได้ชิมรสพระนิพพาน อุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาว่าบางทีปุถุชนไม่มีกิเลสเลย เขาว่าอย่างนั้นนะครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ เรื่องเขาว่า อาตมาจะยกตัวอย่างภายนอกมาเล่าให้ฟัง เช่นคนหนึ่งป่วยเป็นแผลเจ็บปวดมาก ญาตินำไปรักษาที่โรงพยาบาล หมอรักษาปรากฏว่าความเจ็บปวดหาย ญาติก็ว่าโรคหาย คนป่วยว่าโรคหาย แต่หมอบอกว่ายังไม่หาย เมื่อเป็นอย่างนี้อุบาสกควรเชื่อหมอหรือเชื่อผู้ป่วย
อุบาสกกราบเรียน อย่างนี้ควรเชื่อหมอ เพราะหมอมีเครื่องมือบริบูรณ์ และมีวิชาความรู้ดีด้วยครับ
หลวงปู่ตอบ ความจริงควรเป็นอย่างนั้นแหละอุบาสก เพราะผู้ป่วยนั้นเพียงแต่หายปวด ส่วนแผลภายในยังไม่หาย เพียงแต่ยังไม่แสดงอาการอีกเท่านั้น โรคที่แสดงฤทธิ์บางทีอาศัยรับประทานของแสลง บางทีแสดงขึ้นมาเองฉันใด กิเลสเหมือนกันฉันนั้น หรือปุถุชนสงบเช่นเดียวกัน และคนที่เพียงโรคสงบอย่างนั้น พูดถึงกำลังวังชาก็สู้คนดีไม่ได้ฉันใด คนที่มีกิเลสเท่ากันกับคนที่ยังป่วยอยู่ เทียบกับพระอรหันต์ที่หายป่วยแล้วยังไม่ได้เลย
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ ปุถุชนจะมีเวลาจิตว่างไหมครับ
หลวงปู่ตอบ ถ้าว่างอย่างปุถุชนคงจะมีบ้าง
อุบาสกกราบเรียน ไม่ได้หมายแค่ปุถุชนครับท่านอาจารย์ หมายพระอริยเจ้าเทียบกับปุถุชนครับ
หลวงปู่ตอบ เทียบกันไม่ได้ ดูตัวอย่างเรื่องของผู้ป่วยที่อาตมายกตัวอย่างให้ฟังก็แล้วกัน
อุบาสกกราบเรียน ปุถุชนจะหาวิธีให้ว่างจะไม่ได้หรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ปุถุชนเมื่อทำให้ตนเป็นผู้หมดจดจากกิเลสแล้วจึงจะว่าง ถ้ายังเป็นปุถุชนอยู่เรื่องจิตว่างเราก็ว่าเอง หรือจะให้ปุถุชนพยากรณ์ให้ก็เหมือนคนตาบอดพากย์หนังนั่นแหละอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน คำนี้น่าขำและแปลกมาก กระผมไม่เคยได้ยินมาก่อนเลยครับท่านอาจารย์ กระผมไม่เคยเห็นเขาให้คนตาบอดไปพากย์หนังสักทีนี่ครับ
หลวงปู่ตอบ อุบาสกชอบให้ปุถุชนพยากรณ์คุณธรรมชั้นสูง และเชื่อปุถุชนแสดงธรรมชั้นสูงให้ฟัง ก็เท่ากับเชื่อคนเป็นหิดเต็มตัวประกาศขายยาแก้หิดนั่นแหละ
อุบาสกกราบเรียน กระผมเชื่อเขามามากแล้วครับท่านอาจารย์ บางสิ่งบางอย่างกระผมกราบเรียนท่านอาจารย์ไม่ได้ เพราะเป็นเรื่องที่ท่านอาจารย์รับฟังไม่ได้ แต่เขาทำด้วยจิตว่าง อย่าได้ทำด้วยความมึนตึง กระผมสงสัยเหลือเกินไม่กล้ากราบเรียนท่านอาจารย์ กระผมได้พยายามทำทุกวิถีทางก็มึนตึงอยู่เสมอไป กระผมลองถามคนอื่นเขาก็บอกว่าทำไม่ได้เหมือนกัน ความจริงแล้วจะมีทางบ้างไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่มีทางที่จะทำได้แล้วอุบาสกเพราะเป็นเหตุสุดวิสัย ต่อเมื่อใดกรมประชาสัมพันธ์เปลี่ยนให้คนดีออกหมดให้คนใบ้ทำงานแทนเป็นผลสำเร็จ เราเปิดรับวิทยุได้ดีเหมือนอย่างเดิม อุบาสกก็ทำให้หมดจากความมึนตึงได้ เมื่อนั้นแหละปุถุชนจึงจะสมควรมาพยากรณ์ธรรมชั้นสูงทางพระพุทธศาสนาให้ถูกต้องตามความเป็นจริงได้ เมื่อหากพบทางโลกยังเป็นไปไม่ได้ ทางธรรมไม่มีทางเป็นไปได้เหมือนกัน ให้คิดดูแม้แต่สมมุติเทพคือพระราชาที่เป็นปุถุชน ยังไม่รู้ความเป็นอยู่ของพระอริยเจ้าที่เรียกว่า วิสุทธิเทพได้ ส่วนวิสุทธิเทพท่านรู้ความเป็นอยู่ของวิสุทธิเทพได้ดี พูดถึงความมึนตึงคนที่เขาว่าอยากให้เขาลองดู กลัวจะมองหาจุดของความว่างไม่เจอ หรืออุบาสกจะเห็นอย่างไร
อุบาสกกราบเรียน กระผมรับรองว่าผู้ที่ว่านั้นเมื่อหากเป็นอย่างนั้นไม่มีทางใดที่จะทำให้จิตว่างได้เลยครับ และกระผมสงสัยว่าจิตมีแปดสิบเก้าดวง จริงไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่จริงอุบาสก จิตนับไม่ถ้วน
อุบาสกกราบเรียน ทำไมท่านอาจารย์จึงว่าอย่างนั้นล่ะครับ
หลวงปู่ตอบ คิดดู นับแต่สัตว์ในมนุษยโลกมีเท่าไรแล้ว
อุบาสกกราบเรียน กระผมถามเพียงคนเดียวครับ
หลวงปู่ตอบ เฉพาะจิตเราคนเดียวก็มีดวงเดียวสิอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน เขาว่า มีแปดสิบเก้าดวงครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ สมมุติว่านางบุญมาคนเดียวมีเครื่องแต่งกายแปดสิบเก้าชุด พอเขาขึ้นไปแต่งตัวเสร็จแล้วก็ลงมาเที่ยว ประเดี๋ยวเดียวกลับไปเปลี่ยนชุดใหม่ ทำอยู่อย่างนี้จนหมดชุด จะเห็นว่านางบุญมามีแปดสิบเก้าคน หรือมีเครื่องแต่งกายแปดสิบเก้าชุด
อุบาสกกราบเรียน สำหรับกระผมเห็นว่า นางบุญมาคนเดียวแต่งเครื่องแต่งกายแปดสิบเก้าชุด แต่คนอื่นจะเห็นเป็นอย่างไรไม่ทราบ
หลวงปู่ตอบ นี่แหละอุบาสก คนที่เห็นนางบุญมาคนเดียวเป็นคนตาดี แต่คนที่เห็นนางบุญมาแปดสิบเก้าคนเป็นคนตาฟาง เพราะจิตของคนหนึ่งก็มีดวงเดียว แต่อารมณ์เครื่องประกอบมีมากจึงเป็นเหตุให้คนตาฟางมองเห็นเป็นจิตหลายดวง แต่สำหรับคนที่มีนัยน์ตาดีจะมองเห็นว่าจิตมีดวงเดียว แต่อารมณ์เครื่องประกอบมีมาก อุบาสกจะเห็นว่าอย่างไรไม่ทราบ
อุบาสกกราบเรียน กระผมเห็นเช่นเดียวกับท่านอาจารย์ทุกอย่างครับ คนที่เขานั่งสมาธิจนตัวแข็งทื่อ บางทีเขายกไปวางไว้ที่เก้าอี้ก็ยังแข็งทื่ออยู่อย่างนั้น เมื่อจิตของเขาถอนออกมาแล้ว กระผมถามเขา เขาบอกว่าเข้านิโรธ กระผมถามเขาอีกว่า เวลาเข้านิโรธอยู่นั้นรู้สึกอย่างไรบ้าง เขาตอบว่าไม่รู้สึกอะไรเลย ดับหมด ทุกข์ไม่มี สุขไม่มี สัญญาไม่มี นี่แหละเรียกว่าผู้ถึงนิพพาน อันนี้จะถูกไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อาตมาเองก็ยังตาฟางอยู่ แต่จะตอบตามเหตุผล อาตมาว่าไม่จริง เพราะไม่ปรากฏว่าพระอริยเจ้าเข้านิโรธตัวแข็งทื่อและหามไปวางไว้บนโต๊ะหรือเก้าอี้ที่ไหนเลย จิตไม่เห็นดับหมดเหมือนอย่างที่ว่ามานี้ เห็นคำชมเชยนิพพานว่าสุขยิ่งอย่างอุบาสกถาม เขาตอบว่าหายหมด ไม่รู้อะไร เขาจัดว่าเป็นนิพพานก็เป็นเรื่องนิพพานของพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นยึดถือ เขาต้องการนิพพานอย่างนั้นก็ให้พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้น ยึดอย่างนั้น แต่อุบาสกอย่าไปยึดถืออย่างเขาเป็นอันขาด
อุบาสกกราบเรียน กระผมไม่หรอกครับท่านอาจารย์ แต่กระผมสงสัยว่าสมัยนี้เขาบอกว่าหมดยุคของพระอริยเจ้า จริงไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ หมดสำหรับผู้ไม่ทำ ผู้ทำไม่มีหมด ถ้าหากว่าหมดจริงธรรมะของพระพุทธองค์ก็โมฆะใช้ไม่ได้ ตัวอย่างวรรคธรรมคุณที่ว่า อะกาลิโก คือธรรมะของพระพุทธเจ้าไม่เลือกกาล ไม่เลือกเวลา มีอยู่อย่างนี้ เมื่อธรรมะบทนี้ใช้ไม่ได้ บทอื่นก็ใช้ไม่ได้เหมือนกัน และขอให้อุบาสกคิดอย่างนี้ ตัวอย่างสมัยก่อนพุทธกาล คนทำบาปได้บาป ทำบุญได้บุญ มองเห็นได้ชัดในเหตุผล พวกตาฟางพอมองเห็นได้ เช่น คนทำดียังได้ดี คนทำชั่วยังได้ชั่ว จะเป็นสมัยพุทธกาลหรือนอกพุทธกาลก็ตาม กฎธรรมดานี้ยังศักดิ์สิทธิ์อยู่อย่างนั้นตลอดกาล เหมือนเกลือจะนำไปรับประทานอยู่ที่ไหนเมื่อใดก็ยังเค็มอยู่อย่างนั้น ไม่เลือกสถานที่ และไม่เลือกบุคคล ไม่เข้าใครออกใคร เรื่องนี้ฉันใด ธรรมก็เช่นเดียวกัน
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ เขาว่าฤๅษีเข้านิโรธอยู่ได้ตั้งหมื่นปีก็มี บางคนเล่าว่าเข้าอยู่ได้ถึงสี่หมื่นปีก็มี จริงไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่จริงอุบาสก ฤๅษีไม่มีเข้านิโรธ นอกจากพระอรหันต์เท่านั้น อาตมาไม่เคยเห็นมีปรากฏว่า ฤๅษีตนใดได้สำเร็จมรรคผลเลย และที่ว่าอายุยืนหนึ่งหมื่นปี และสี่หมื่นปี อาตมาก็ไม่เชื่อ พระพุทธองค์บอกว่าร่างกายสังขารอยู่ใต้กฎธรรมดา มีอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ทุกคนนับตั้งแต่คนขอทานขึ้นไปถึงพระราชามหากษัตริย์ จนถึงพระพุทธเจ้าไม่เห็นว่าร่างกายของทุกท่านเหล่านี้อยู่เหนือกฎธรรมดาอันนี้ได้ เว้นแต่จิตใจ ทุกคนที่จิตใจตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสแล้วรับรองว่ากฎธรรมดาเหล่านี้จะต้องตามบีบอยู่เรื่อยไป ไม่มีที่สิ้นสุดอยู่ตราบนั้น เมื่อใครสามารถสร้างกำลังจิตใจอยู่เหนือกฎธรรมดานี้ได้ก่อนแล้ว กฎธรรมดาจึงจะไม่มีโอกาสติดตามไปอีก เว้นชาติปัจจุบัน กฎธรรมดา ทับถมได้เฉพาะร่างกาย ส่วนจิตใจไม่มีทางที่จะทับถมได้ แต่พูดถึงฤๅษีที่มีความดีเพียงแค่นี้จะอยู่ได้ถึงหมื่นปีมองยังไม่เห็นทางเลยอุบาสก คิดดูพระพุทธเจ้าพระองค์วิเศษยิ่งกว่าฤๅษีมากมายนักพระองค์อยู่ได้เพียงแปดสิบปี เท่านั้นเอง
อุบาสกกราบเรียน กระผมเพิ่งรู้จักกฎธรรมดาว่ามีอำนาจเหนือร่างกายชัดเจนวันนี้เองครับ และกฎธรรมดาเหล่านี้จะทับถมจิตใจของพระอรหันต์ไม่ได้ ด้วยท่านเป็นผู้ที่มีอำนาจจิตสูง แต่กระผมยังสงสัยเรื่องการเจริญอิทธิบาทจะเจริญให้อายุยืนยาวเป็นหมื่น ๆ ปีไม่ได้จริงหรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ให้อุบาสกคิดดูอย่างนี้แล้วกัน พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ที่มาตรัสรู้ในโลกจะปรากฏว่าแต่ละพระองค์มีอายุยืนนาน ผู้คนในสมัยนั้นจะมีอายุยืนตามมาตรัสรู้ในยุคสมัยนั้นอายุขัยของคนหนึ่งร้อยปี และที่อายุสั้นคือพระพุทธเจ้าพระสมณโคดมของเรา พระพุทธเจ้าพระสมณโคดมมีอายุขัยได้แปดสิบปี และสาวกทุกพระองค์ไม่ปรากฏว่ามีสาวกองค์ใดมีอายุยืนยาวขึ้นมาให้พวกเราได้เห็นบ้างเลยถ้าหากจะทำได้ อิทธิบาท ของพวกเราที่พระพุทธองค์ทรงสอนมีเพียงกล่าวสรรเสริญไว้ว่า ผู้ใดเจริญอิทธิบาทย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จ เรื่องนี้น่าจะเป็นเรื่องจริงอย่างที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ เราลองนึกดู หนึ่งฉันทะ ความพอใจ ใจไม่จืดจาง สองวิริยะ พยายามไม่ท้อถอย สาม จิตตะ จิตฝักใฝ่อยู่ในกิจการนั้นๆ โดยไม่เผลอ สี่วิมังสา ตริตรองถึงคุณและโทษ ผลเสียและผลดีอยู่ตลอดไป หมายความว่าไม่ดำมืด เป็นผู้ทำด้วยความสว่าง มองเห็นว่าดำเนินไปอย่างนี้ผลที่จะมองเห็นได้ชัดจึงลงมือทำอย่างนี้ ทำไมจะไม่สำเร็จ งานภายนอกยังทำสำเร็จ ถ้ารู้จักประมาณงานภายในได้แก่รู้จักกำลังสมาธิก็สำเร็จ หากนำไปใช้ในทางสุดวิสัยก็ไม่สำเร็จได้ สงสัยที่เขียนเพิ่มให้พระพุทธองค์ไว้คงจะเห็นคำที่กล่าวว่าเป็นไปเพื่อความสำเร็จ และคนโดยมากไม่อยากตาย ถึงแม้ตายก็ขอให้อายุยืน พอใจในคำที่พระพุทธองค์กล่าวสรรเสริญอิทธิบาทไว้ว่าย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จ เอาละเราจะต้องมีอายุยืนแน่ และอาจแนะนำให้คนอื่นเชื่อตามตนเองอีก เพราะธรรมดาคนเราจะทำอะไรไปคนดียวมันเหงาหงอยก็จะชวนหมู่ให้ทำตามตนเองจึงกล่าวเพิ่มเติมให้พระพุทธองค์อีก และบางคนเห็นว่าการเจริญอิทธิบาทย่อมเป็นไปเพื่อความสำเร็จ นึกว่าจะสำเร็จทุกอย่าง เรานึกดูบ้างที่พระพุทธเจ้าสอนทั้งหมด โดยมีจุดประสงค์อย่างไร การวางอิทธิบาทต้องการเพื่ออุดหนุนกิจการนั้นๆ ถ้าไม่มองถึงจุดประสงค์ของพระพุทธเจ้าแล้วอาจไม่เข้าใจในหมวดธรรมว่า ธรรมชั้นไหนควรนำไปใช้อย่างไร บางทีอาจนำไปใช้นอกรีตนอกรอยเป็นได้ ตัวอย่าง พวกโจรนำหลักธรรม คืออิทธิบาทและอื่นๆ ไปใช้ในการประกอบโจรกรรมให้สำเร็จ หรือให้ทำโจรกรรมได้ดีขึ้น พวกโจรกล่าวชมว่าธรรมที่พระพุทธองค์ตรัสไว้เพื่อเขานั้นมีค่ามาก ดีมาก เขาเห็นว่าพระพุทธองค์มีความกรุณาต่อเขาอย่างนี้ก็ไม่ถูกเพราะผิดพุทธประสงค์ หรือเราจะไปใช้ให้อายุยืนตามอย่างที่มีคำต่อเติมนั้น พระพุทธองค์ไม่มีจุดประสงค์ที่จะให้พุทธบริษัทหาทางป้องกันความตาย เว้นแต่คนที่ไม่เข้าใจ จะเขียนขึ้น หรือไปหลงตำราพราหมณ์เข้า เขาก็บอกไม่ถูก เช่นการต่ออายุของพวกพราหมณ์ เขาทำตามหลักศาสนาของเขาเราก็ตามบ้าง ยกสปติฏฐิตาเทพบุตรมาเป็นตัวอย่าง นี่เป็นเรื่องปรัมปรา เรื่องที่ประจักษ์ชัดในจุดประสงค์แท้จริงของพระพุทธเจ้าคืออย่างไร มีอะไรเป็นเหตุให้พระพุทธองค์ได้สร้างบารมี พระองค์มุ่งให้นำอิทธิบาทธรรมไปใช้เพื่ออุดหนุนกิจการอันนั้นเป็นส่วนใหญ่ การที่ไปใช้ให้อายุยืนนั้นพระพุทธองค์จะตรัสไว้หรือเปล่าก็ไม่ทราบ คนเราชอบต่อเติม ไม่กลัวพระธรรมจะเสียรูปหรืออย่างไร ไม่น่าส่งเสริมทางอื่นเลย
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับกระผมได้ทราบประวัติพระโมคคัลลานะเถรเจ้าผู้มีฤทธิ์ ในคราวข้าวยากหมากแพงฝนแล้ง ท่านจะรวมคนและสัตว์ไว้บนฝ่ามืออีกข้างหนึ่งแล้วจะพลิกแผ่นดินด้วยมืออีกข้างหนึ่ง เพื่อจะให้คนได้กินง้วนดิน เป็นสิ่งมหัศจรรย์มากนะครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อุบาสกเป็นคนเชื่อง่าย คนที่ไม่รู้เรื่องชมไม่รู้จักขอบเขต ต้องการจะให้ดีเด่นจึงกลายเป็นเรื่องเลยเถิดไป โลกนี้ก็เหมือนลูกโป่งลอยอยู่ในอากาศ มันหมุนรอบตัวเองวันละรอบอยู่ทุกวัน ไม่มีใครพลิก มันพลิกเอง จะไปหาง้วนดินที่ไหนมากินเล่าอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับที่ท่านอาจารย์พูดถึงพระโมคคัลลานะเถรเจ้า ดูเหมือนท่านจะไม่มีฤทธิ์เลยหรืออย่างไรครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ทำไมอุบาสกจึงเข้าใจอย่างนั้น
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์เล่าถึงเรื่องพระโมคคัลลานะเถรเจ้าที่ท่านจะพลิกแผ่นดิน ฟังแล้วเหมือน พระผู้เป็นเจ้าจะทำไม่ได้หรืออย่างไรครับ
หลวงปู่ตอบ ท่านจะพลิกเพื่ออะไรเล่าอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน พลิกให้คนกินง้วนดินครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ง้วนดินมันอยู่ตรงไหนล่ะอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน กระผมฟังแล้วเหมือนอยู่ใต้แผ่นดิน เพราะมีคำที่ว่าจะรวมคนไว้ฝ่ามือหนึ่ง อีกข้างหนึ่งจะพลิกแผ่นดิน หากว่ามันอยู่ตรงกลางแผ่นดินคงไม่ใช้คำพูดว่าพลิกหรือแหวก หรืออาจอยู่ซีกใดซีกหนึ่งของโลก คงไม่จำเป็นที่จะรวมคนมาไว้ในฝ่ามือ คงรวมคนและสัตว์ไปไว้ซีกโลกอีกข้างหนึ่ง หรือหากจะโกยได้ง่ายๆ คงจะพูดว่าโกยมา เมื่อมาพิจารณาตามคำพูดแล้วดูเหมือนอยู่ใต้ดินนะครับ
หลวงปู่ตอบ ถ้าหากง้วนดินอยู่ใต้แผ่นดินจริงๆ มันก็อย่างที่อาตมาว่ามาแล้วนั่นแหละอุบาสก และคำที่อุบาสกว่าพระผู้เป็นเจ้าโมคคัลลานะจะไม่มีฤทธิ์หรือ ทำไมท่านจะไม่มีฤทธิ์เล่าอุบาสก พระมหาเถรเจ้าโมคคัลลานะเป็นผู้มีฤทธิ์มาก ท่านก็ได้รับเอกทัตคะคือการ ยกย่องสรรเสริญจากองค์สมเด็จพระบรมศาสดาจารย์เจ้าว่า เป็นผู้มีฤทธิ์มาก คิดดูท่านไปสวรรค์ ท่านนำข่าวสารของพวกชาวสวรรค์มาเล่าให้มนุษย์ฟัง ท่านไปนรก ท่านนำข่าวสารของพวกนรกมาเล่าให้มนุษย์ฟัง เหล่านี้เป็นต้น เป็นเหตุให้คนอยากทำความดีและกลัวความชั่ว ทำให้ประชาชนมีความเลื่อมใสมากขึ้น จึงเป็นเหตุให้พวกเดียรถีย์นิครนถ์อาฆาตท่าน คิดดูอย่างนี้แล้วกัน และเรื่องอื่น ๆ อีกมากมายถ้าจะพูดถึงการแสดงอิทธิฤทธิ์ของพระผู้เป็นเจ้าแล้วมีมากมายหลายอย่าง
อุบาสกกราบเรียน กระผมเข้าใจแล้วครับ กระผมมองเห็นความดีของพระศาสนานี้ว่าดีมาก เมื่อใครประมาทบาปมาก ตัวอย่าง นางจิญจมาณวิกาใส่ความพระพุทธเจ้าว่าไม่ดี จึงถูกแผ่นดินสูบไปอเวจีมหานรก
หลวงปู่ตอบ เอาอีกแล้วอุบาสก แผ่นดินที่ไหนสูบคนได้ เป็นไปได้อย่างไรกัน
อุบาสกกราบเรียน ถ้าอย่างนั้นความจริงมีอย่างไรครับ
หลวงปู่ตอบ ให้อุบาสกนึกดูให้ดี ๆ อเวจีมหานรกอยู่ที่ไหน อยู่ใต้แผ่นดินนี้หรือ
อุบาสกกราบเรียน กระผมเข้าใจว่าอยู่ใต้แผ่นดินครับ
หลวงปู่ตอบ อยู่ใต้แผ่นดิน ตรงประเทศเราก็ดูเหมือนจะเป็นอเมริกา หรือหากอยู่กลางแผ่นดินเวลาเขาจะเจาะน้ำบาดาลคงจะไปถูกเอาน้ำต้มสัตว์นรกมากินกันแน่นอน
อุบาสกกราบเรียน กระผมแย่เสียแล้ว กระผมเป็นคนไม่มีเหตุผลเลยครับท่านอาจารย์ ความจริงกระผมเชื่อว่าแผ่นดินสูบนางจิญจมาณวิกาและผู้กระทำไม่ดีต่อพระพุทธเจ้า กระผมเข้าใจว่าสูบไปตกมหานรกอเวจีทั้งเป็น นำไปทรมานทั้งร่างกายอย่างนั้นเสียอีกครับ กระผมเชื่ออย่างนี้มานานแล้วครับ
หลวงปู่ตอบ อุบาสกยังเข้าใจไม่ถูก ตัวอย่างอุบาสกเคารพพระองค์ใดพระองค์หนึ่งอย่างแท้จริง แล้วมีคนมาใส่ความพระองค์นั้นเหมือนอย่างนางจิญจมาณวิกาใส่ความพระพุทธเจ้า และความจริงมาปรากฏอย่างนั้น อุบาสกจะทำอย่างไรกับคนที่ใส่ความนั้น
อุบาสกกราบเรียน กระผมทนไม่ได้ กระผมต้องฆ่าฝังแน่นอน
หลวงปู่ตอบ นั่นแหละอุบาสก ความจริงคนที่ใส่ความพระพุทธเจ้า และความจริงปรากฏชัดมา อย่างนั้นด้วย พุทธบริษัทมาเฝ้ารอดูเหตุการณ์มีจำนวนมากมาย เมื่อเหตุการณ์ปรากฏขึ้นดังนั้น นอกจากพระอริยเจ้าแล้วใครจะทนดูอยู่ได้ ต้องฆ่าฝังแน่นอน แต่จิตใจของจิญจมาณวิกาต้องไปอเวจีมหานรกแน่นอน
อุบาสกกราบเรียน กระผมมักจะเชื่อโดยไร้เหตุผลเสมอครับท่านอาจารย์ เมื่อกระผมเข้าใจดีแล้วรู้สึกเสียใจในผู้ที่นำอะไรมาประดับศาสนาเพื่อความสวยงาม เหมือนสวมเสื้อสวมกางเกงให้ลิงก็เหมือนกันนะครับ ผลที่สุดก็เลยดูไม่ได้ จะเป็นเหตุให้ลิงตกต้นไม้ตายไปเสียอีก เพราะมันเกะกะรุงรังฉันใดก็ดี ศาสนาพุทธเราเช่นเดียวกันเขียนกันจนเลยเถิด
หลวงปู่ตอบ โบราณท่านเล่าไว้ว่า คนโง่อวดฉลาดหรือคนโง่ขยันไม่มีทางดี สิ่งที่ควรทำกลับว่าไม่ควรทำ ชมเลยดี ตำหนิเกินขอบเขต ตัวอย่างอุบาสกเล่าถึงชั้นพรหมโลกมีช้างเป็นพาหนะ สู้เมืองมนุษย์ก็ไม่ได้ ไม่มีใครอยากไปแล้วถ้าเป็นอย่างนั้นจริง เพราะมองเห็นชัดๆว่าอย่างอื่นต้องแพ้เมืองมนุษย์แน่นอน สวรรค์ยิ่งซ้ำร้าย แต่ความจริงแล้วไม่เป็นอย่างที่อุบาสกว่าเลย และอย่างที่อุบาสกว่าความว่างของปุถุชนยังเทียบรสชาติของพระนิพพานอีกแย่เลยอย่างนี้ ของมีกฎเกณฑ์ ถ้าชั้นสูงๆ อย่างนั้นไม่มีกฎเกณฑ์เป็นอย่างเขาเขียนเมืองมนุษย์เราก็แย่ แต่นี้เมืองมนุษย์เรายังมีกฎเกณฑ์อยู่ ตัวอย่างผู้ที่เป็นพระราชามหากษัตริย์และนายกรัฐมนตรีเหล่านี้ ไม่ใช่ว่าใครอยากเป็นก็เป็นได้ หรือจะแต่งตั้งกันที่ไหนก็แต่งตั้งกันขึ้นได้ตามแต่จะปรารถนา ถ้าจะแต่งตั้งกันอย่างพวกลิเกนั้นก็ได้ตั้งกันชั่วคราว แต่ไม่ได้เป็นจริง เป็นเพียงสมมุติเล่น ถ้าใครสมมุติเองและหาเครื่องนุ่งห่มเองแล้วเที่ยวประกาศตนเองเป็นพระราชาอย่างนี้แย่มาก อาตมาเคยเห็นอุบาสกจะเห็นหรือเปล่าไม่ทราบ คิดเองแล้วกัน
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ กระผมเห็นตำนานกล่าวว่า พวกฤๅษีที่สำเร็จกสิณฌานตายแล้วพวกนี้ได้รูปฌาน ได้ไปเกิดในชั้นรูปพรหม พวกสำเร็จอรูปฌานได้ไปเกิดในชั้นอรูปพรหม ผู้ที่ได้อสัญญีได้ไปเกิดอสัญญีภพของพรหม จริงไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อาตมาได้เห็นตำนานหนึ่ง เขาเขียนบอกว่าพราหมณ์เป็นเชื้อของพรหม เมื่อตายแล้วทั้งหมดจะต้องไปเกิดพรหมโลก เพราะเขาเป็นเชื้อพรหม บ้านเขาอยู่ที่พรหมโลก เขาลงมาโลกมนุษย์เหมือนกันกับคนในโลกมนุษย์ออกจากบ้านไปทำงาน เมื่อทำงานเสร็จแล้วหรือหมดเวลาแล้วเขาก็ต้องกลับบ้าน เรื่องนี้ฉันใด พวกวรรณะพราหมณ์ก็เช่นเดียวกัน อุบาสกจะเชื่อในตำนานที่อาตมาเล่าให้ฟังนี้หรือไม่
อุบาสกกราบเรียน เชื่อถือไม่ได้ครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ตำนานที่อุบาสกเห็นอาตมาก็เชื่อถือไม่ได้เหมือนกัน
อุบาสกกราบเรียน เรื่องฤๅษีท่านทั้งหลายเหล่านั้นอาศัยกำลังของฌานสมาบัติเป็นอานิสงส์ส่งให้ จึงเป็นเหตุให้ไปเกิดในพรหมโลก เรื่องของพราหมณ์ที่ท่านอาจารย์ว่านี้ไม่กล่าวถึงฌาน ญาณอะไรเลยครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อุบาสกไม่ควรพูดเฉพาะเจาะจงพวกฤๅษี ควรพูดถึงนักจิตวิทยาบ้าง หรืออุบาสกไม่มองเห็นพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นว่าจะไปเกิดในพรหมโลกได้
อุบาสกกราบเรียน กระผมมองไม่เห็นว่าพวกนักจิตวิทยาจะไปสู่พรหมโลกด้วยอำนาจอะไรครับ
หลวงปู่ตอบ ด้วยอำนาจฌานของนักจิตวิทยานั่นแหละอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน กระผมไม่เคยเห็นในตำนานใดกล่าวว่า นักจิตวิทยาได้สำเร็จฌานเลยนี่ครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ฌานแปลว่าอะไรล่ะอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน กระผมไม่เข้าใจครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ เรื่องไม่เข้าใจอย่างนี้แหละจึงเป็นเหตุให้โง่ เขาสมมุติว่าแมวคือกระต่ายก็เลยเชื่อ ตามเขาไปอุ้มแมวประกาศบอกคนอื่นว่ากระต่าย คนที่รู้จักจะว่าอย่างไร คำว่าฌาน พวกฤๅษีนิยมพูดกันคือความเพ่ง ความเพ่งนั่นแหละเขาเรียกว่าฌาน ผลที่สำเร็จมาจากความเพ่งเขาเรียกว่าปัญญา หรือฤทธิ์ แปลว่าความสำเร็จ กสิณฌานจัดเป็นโลกียฌาน สิ่งที่สำเร็จมาจากโลกียฌานเรียกว่าโลกียทรัพย์ ถ้าเป็นปัญญาเรียกว่าโลกียปัญญา คำว่าโลกีย์แปลว่าโลก คำว่าโลกคือหมู่สัตว์ ครั้งสมัยพุทธกาลแบ่งโลกออกเป็น สามโลกอย่างที่เคยเล่าสู่ฟังมาแล้ว คือกามโลก รูปโลก อรูปโลก ครั้งสมัยพุทธกาล พูดคำศัพท์ที่ว่าโลก ๆ ฟังกันรู้เรื่องง่าย แต่มาสมัยนี้ฟังยาก ให้คิดดู สมบัติที่ได้มาจากโลกียฌาน เรียกว่าโลกียสมบัติ ครั้งสมัยพุทธกาลคำพูดแค่นี้ฟังกันรู้เรื่องแล้ว แต่สมัยนี้ดูเหมือนจะไม่ได้ความ จึงเป็นเหตุให้แปลกันยุ่งไปหมด เป็นเหตุให้เลยเถิดไป หรืออาจไม่พอก็ยังมีสมบัติอันนี้เพียงแค่สมบัติของชั้นกามโลก เพราะเป็นสมบัติไม่พ้นจากกาม ตัวอย่างฤๅษีที่เป็นอาจารย์ของพระเจ้าพาราณสี ครั้งที่พระเจ้าพาราณสีไปสงคราม ได้ให้อัครมเหสีจัดภัตตาหารถวายแก่ฤๅษี ในวันหนึ่งฤๅษีเข้าฌานเหาะมา อัครมเหสีของพระเจ้าพาราณสีบรรทมเผลอไปไม่ได้มองฤๅษี พอได้ยินเสียงก๊อกแก๊ก ซึ่งเป็นเสียงสมณะบริขารของพระฤๅษีกระทบกัน พระนางผินพระพักตร์มาดู พระนางได้เห็นฤๅษีเหาะมาใกล้แล้ว จึงรีบลุกขึ้นทันทีเป็นเหตุให้ผ้านุ่งของพระนางหลุด พอฤๅษีมองเห็นก็มีความกำหนัด เป็นเหตุให้ฌานเสื่อมพลัดตกลงมาจากอากาศทันที นี่แสดงให้เห็นว่าฌานของฤๅษียังอมกิเลสไว้ทั้งเปลือกจึงสมควรเพียงแค่กามโลกตั้งแต่สวรรค์ลงมา เรื่องพรหมโลกอย่าไปพูดถึง นอกจากพระอริยเจ้าชั้นต้นสามจำพวกเท่านั้นที่จะไปได้ นอกนั้นไม่มีทางแล้ว หรือมาเทียบกับนักจิตวิทยา นักจิตวิทยาก็เพ่งเหมือนกันแต่เขาสมมุติไปอีกคนละเรื่อง สมบัติที่พวกนักจิตวิทยาได้มีสิทธิ์ไปได้เหมือนกัน แต่แล้วทั้งสองพวกไปพรหมโลกไม่ได้
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับที่ท่านอาจารย์พูดว่า พระอริยเจ้าสามจำพวกที่สมควรแก่พรหมโลก กระผมเห็นในตำนานกล่าวว่า พระโสดาไปได้เพียงแค่สวรรค์ พระสกิทาคามีก็ไปได้แค่สวรรค์ เว้นไว้แต่พระอนาคาจึงจะไปสู่พรหมโลกได้ใช่ไหมครับ
หลวงปู่ตอบ นี่แหละอุบาสก คนที่ไม่เข้าใจ ของที่อยู่สูงกลับพูดว่าอยู่ต่ำ ของที่อยู่ต่ำกลับพูดว่าอยู่สูง พระโสดากับพระสกิทาคาเป็นผู้ถึงโลกุตตรธรรมแล้ว ทำไมคุณธรรมจึงส่งให้ไปได้เพียงแค่กามโลก ฤๅษีได้เพียงโลกียธรรมจึงพ้นไปเสียจากกามโลกได้ไปอยู่ชั้นรูปโลกเท่ากันกับนักเรียนนายเรือที่เรียนสำเร็จแล้วมาบรรจุเป็นจ่าสิบตรีทหาร และนักเรียนนายสิบที่เรียนสำเร็จแล้วบรรจุเป็นนายเรือตรี เมื่อทางการตั้งกฎตายตัวแล้วทำอย่างนี้จะใช้ได้อย่างไร นี่แหละคำที่ว่าของสูงกลับลงมาไว้ที่ต่ำ ของต่ำกลับนำขึ้นไว้ที่สูง พระโสดาบัน พระสกิทาคามี เมื่อสมควรเพียงแค่กามโลกก็ไม่สมควรที่จะเรียกว่าผู้ได้ โลกุตตรธรรม
อุบาสกกราบเรียน กระผมยังไม่เข้าใจอยู่อีกว่าฌานของพวกฤๅษีจะไม่สามารถอำนวยผลให้ผู้ได้ผู้ถึงเข้าถึงพรหมโลกได้จริงหรือครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่ได้จริงอุบาสก ขอให้อุบาสกคิดดูว่า พระโพธิสัตว์บางชาติได้บวชเป็นฤๅษีเพ่งฌานจนสำเร็จ เช่นสุเมธจารย์ฤๅษีและเตมีย์เหล่านี้เมื่อถึงอายุขัยแล้วก็ไม่เห็นได้ไปเกิดชั้นพรหมโลกเลย ไปได้เพียงสวรรค์ แต่เกจิอาจารย์บางท่านบอกว่าพระโพธิสัตว์ต้องการ
สร้างบารมี เมื่อไปพรหมโลกอายุยืนมากจะเป็นเหตุให้ล่าช้าต่อการสร้างพระบารมี เมื่อมาคิดตามความจริงแล้วไม่ใช่เช่นนั้น เพราะมีสิ่งพิจารณาเห็นได้ เมื่อพระโพธิสัตว์สมควรจะจากสวรรค์ลงมาสู่โลกมนุษย์เพื่อสร้างบารมี พระโพธิสัตว์ยังไม่อยากลงมา แม้แต่ชาติที่พระองค์จะต้องลงมาตรัสรู้ พระองค์ได้รับอัญเชิญพระองค์ยังไม่อยากลงมา เพราะมองเห็นเมืองมนุษย์ทุกข์ลำบากอย่างมาก ให้อุบาสกคิดถึงคำที่เกจิอาจารย์บอกว่าพระโพธิสัตว์ไม่อยากไปพรหมโลกท่านให้เหตุผลว่าพระโพธิสัตว์ต้องการสร้างบารมี ท่านพูดแก้เพราะมีคำกล่าวว่าฤๅษีเพ่งฌานสำเร็จแล้วเมื่อตายย่อมสมควรแก่พรหมโลก ถ้าไม่แก้ไว้อย่างนั้นก็กลัวคำพูดที่กล่าวถึงพวกฤๅษีจะไม่ศักดิ์สิทธิ์ ทางที่ถูกควรพูดตามความเป็นจริง เมื่อใครเจริญกสิณฌานหรือฌานของพวกฤๅษีได้แล้วย่อมสมควรแก่พรหมโลกเป็นคัมภีร์ของพวกฤๅษีกล่าวไว้ จะจริงหรือไม่จริงเป็นเรื่องของเขา แต่อย่าว่าพระพุทธเจ้าตรัสไว้อย่างนั้นก็แล้วกัน เพราะจะเป็นเรื่องป้ายพระพุทธองค์ และเป็นคำที่พูดแก้ศักดิ์ศรีของพวกฤๅษีไว้ เช่นกล่าวว่าพระโพธิสัตว์ไม่อยากไปเกิดพรหมโลก เนื่องจากพรหมโลกอายุยืน เสียเวลาสร้างบารมี ความจริงแล้วพระโพธิสัตว์ที่ได้บวชเป็นฤๅษีจำเป็นต้องเจริญฌานของพวกฤๅษีอันเป็นโลกียฌานกำลังโลกียฌานไม่พอที่จะทำให้พระโพธิสัตว์ไปเกิดพรหมโลกได้ พูดอย่างนี้จะดีและถูก แต่พูดอย่างนั้นดีเหมือนกันเป็นคำพูดที่ไม่ทำลายศักดิ์ศรีของพวกฤๅษี แต่กลับทำลายศักดิ์ศรีของพระโสดาและพระสกิทาคา ยกของต่ำไปไว้ที่สูง กดของที่สูงอยู่แล้วให้ต่ำลง อย่างนี้ผิดจากความจริงมาก
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับกระผมฟังแล้วมีความรู้สึกสับสนกันมาก คัมภีร์ที่มีอยู่ทั้งหมดในทางพระพุทธศาสนารู้สึกว่าปะปนมาจากศาสนาพราหมณ์และลัทธิของฤๅษีเป็นอย่างมาก กระผมทำอย่างไรจึงจะทราบได้ว่าเรื่องไหนเป็นแก่นของธรรม หมายถึงธรรมแท้จริงที่ออกมาจากพระโอษฐ์ของพระพุทธเจ้า
หลวงปู่ตอบ อุบาสก แก่นแท้ของธรรมที่ออกมาจากโอษฐ์แห่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าอันเป็นของไม่ปลอมแปลง และมัวหมองแฝงมาจากทางอื่น ซึ่งจะเป็นเหตุให้สอดส่องถึงหมวดธรรมอื่นๆ ว่าเป็นธรรมของใคร มีหลักฐานหรือกฎเกณฑ์ของธรรมอยู่ ๓ ประการ คือ
๑.สพฺพปาปสฺส อกรณํ ให้หลีกเลี่ยงในทางที่เป็นบาป
๒.กุสลสฺสูปสมฺปทา ให้ประกอบในทางที่เป็นบุญ
๓.สจิตฺตปริโยทปนํ ให้ชำระจิตของตนให้ผ่องใส สะอาดประภัสสร ปราศจากอาสวกิเลสตัณหาทั้งปวง เอตํ พุทฺธาน สาสนํ สัตถุธรรมของพระพุทธเจ้าทั้งหมดรวมลงในสามจุดนี้ ธรรมอันใดปรากฏอยู่ในคัมภีร์หรือในตำนานใด ๆ ทั้งหมด ปรากฏว่าปลายลูกศรชี้ตรงเข้ามาในทั้งสามจุดนี้ นั่นคือพระธรรมขององค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ถ้าหางลูกศรชี้เข้ามาหัวชี้ออก ปัดทิ้งไป เพราะไม่ใช่สัตถุธรรมคำสอนขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ดังได้อธิบายมาอุบาสกคงจะพอเข้าใจได้
อุบาสกกราบเรียน ท่านอาจารย์ครับ พรหมโลกเป็นที่อยู่อาศัยของผู้ที่มีฌานใช่ไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ใช่แล้วอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน ถ้าอย่างนั้น คำที่ว่าพระโสดาไปพรหมโลกจะไม่ผิดหรือท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ ไม่ผิดอุบาสก
อุบาสกกราบเรียน กระผมไม่เคยได้ยินครูบาอาจารย์และตำนานที่ไหนเลยว่าพระโสดาได้ฌาน ถ้าจะพิจารณาตามตำนานแล้ว ในครั้งสมัยพุทธกาลผู้ที่สำเร็จมรรคเป็นพระโสดาบัน เนื่องมาจากได้ฟังพระสัทธรรมเทศนาเป็นส่วนมาก กระผมพิจารณาแล้วไม่น่าได้ฌานกระผมจึงเชื่อว่าพระโสดาเป็นผู้ฟังออก เป็นผู้เข้าใจในธรรมของพระพุทธเจ้า กระผมเชื่ออย่างนี้ และครูบาอาจารย์บางองค์ท่านอ้างว่าผู้ได้สำเร็จเป็นพระโสดาบันบุคคลไม่ได้สำเร็จด้วยอำนาจฌาน ท่านท้าให้ไปหาตัวหนังสือที่เขียนไว้ในตำนานและท่านบอกว่าท่านไปหามาเพื่อจะทำยาตาแดงไม่ได้เลย ท่านบอกว่าให้ไปหามาให้ท่านจะมาทำยาตาแดง อย่าว่าแต่พระโสดา แม้พระสกิทาคาก็ยังไม่ได้ฌาน เพราะกระผมเห็นอยู่ในตำนานชัด ๆ ว่าพระสกิทาคาจะไปเกิดแค่เทวโลก เทวโลกไม่ใช่สถานที่อยู่ของผู้มีฌาน เพราะเป็นเพียงกามโลกชั้นสูงเท่านั้นเพราะเหตุนั้นกระผมจึงเชื่อว่าพระสกิทาคาไม่เข้าถึงฌานได้เป็นเด็ดขาดใช่ไหมครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อุบาสกอาจจะดูตำราไม่ทั่วถึงละกระมัง และอาจารย์ที่อุบาสกศึกษามาจากท่านคงจะอ่อนตำราไป อาตมาว่าเรื่องของเสขะบุคคล มีโสดาเป็นต้นย่อมเข้าถึงฌาน อุบาสกดูพระไตรปิฎกภาษาไทยเล่มสามสิบแปด พระสุตันตปิฎก เล่มยี่สิบห้า ขุททกปาฐภาคหนึ่ง หน้าสองร้อยแปดสิบสอง ชานสูตรสี่ร้อยยี่สิบเก้า บรรทัดที่เจ็ด มีเนื้อความว่า ปฐมฌานคือ อนัญญตัญญัสสามีตินทรีย์ ย่อมเกิดขึ้นแก่พระเสขะ คือผู้ที่ศึกษาอยู่ ผู้ปฏิบัติทางตรงในพระโสดาปัตติมรรคอันเป็นเครื่องทำกิเลสทั้งหลายให้สิ้นไป ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงคืออัญญินทรีย์อันยอดเยี่ยมเกิดขึ้นตามลำดับ ตั้งแต่ปฐมฌานนั้นแต่
ธรรมชาติที่รู้ทั่วถึงคืออัญญินทรีย์ไปถึงวิมุติญาณอันสูงสุดย่อมเกิดขึ้นแก่พระขีณาสพ ผู้พ้นวิเศษ หลักฐานก็มีอยู่อย่างนี้ อุบาสกจงกลับไปบอกอาจารย์ของอุบาสกที่ศึกษามามากจนเลยหลักฐานอันมีจริงอยู่อย่างนี้ ให้ท่านไปนำมาทำยาตาแดงเสีย เมื่อหากหลักฐานมีอยู่อย่างนี้อุบาสกยังจะเข้าใจว่าพระโสดาและพระสกิทาคายังจะไม่ได้ฌานอยู่หรอกหรือ
อุบาสกกราบเรียน เมื่อกระผมรู้ว่ามีหลักฐานยืนยันอยู่อย่างนี้กระผมยอมเชื่อ แต่ก่อนกระผมคิดว่าท่านอาจารย์ตอบเดาสวดแบบป่าเถื่อนว่าไปตามใจชอบ โดยไม่คำนึงถึงหลักฐาน แต่บัดนี้กระผมกลับเห็นตรงกันข้ามไปหมดทุกอย่างแล้วครับท่าน แต่กระผมยังสงสัยว่า พระโสดาเพียงแค่ฟังธรรมเทศนาเป็นเหตุให้สำเร็จไม่ได้เจริญฌานที่ไหนเลยครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อุบาสกเข้าใจหรือเปล่าว่า ฌาน ทางพุทธศาสนาหมายความว่าอย่างไร
อุบาสกกราบเรียน กระผมไม่เข้าใจครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อย่างนี้อุบาสก คนรั้นด้วยความโง่ไม่เข้าเรื่องจะเป็นเหตุให้โง่เรื่อยไป เมื่อเรารู้ว่าเราโง่ควรรับฟังท่านผู้รู้แนะนำจะดีกว่ารั้น
อุบาสกกราบเรียน กระผมยอมแล้วครับท่านอาจารย์ แต่กระผมสงสัยคำที่ว่า ฌานทางพุทธศาสนานิยมพูดกันอย่างไรครับ
หลวงปู่ตอบ คำที่ว่า ฌานทางพุทธศาสนา เขานิยมพูด ๒ นัย ๑. ฌานแปลว่าความสำเร็จ ๒.ฌานแปลว่าความเข้าถึง ตัวอย่างผู้สำเร็จเป็นพระโสดาบันอย่างนี้เป็นต้น การเข้าถึงเช่นผู้เข้าถึงปฐมฌาน จนกระทั่งถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ เป็นต้น ฌานทางพระพุทธศาสนาท่านนิยมพูดกันอย่างนี้
อุบาสกกราบเรียน กระผมเข้าใจเพียงว่า ฌาน คือ ความเพ่ง และครูบาอาจารย์สอนกระผมว่าอย่างนี้ จนกระทั่งมาถึงตำนานก็เขียนว่าอย่างนี้ จึงเป็นเหตุให้กระผมเข้าใจอย่างนี้และมโนภาพของกระผมนึกว่าเพ่งอย่างฤๅษีเป็นอย่างนี้แหละครับท่านอาจารย์
หลวงปู่ตอบ อาจารย์ที่สอนอุบาสกตำนานของพราหมณ์และฤๅษีเข้าตาเสียจนฟาง หัวใจก็ไปจับในเรื่องของพวกฤๅษีจนเป็นปฏิภาคนิมิต พูดอะไรก็เป็นพราหมณ์และฤๅษีไปหมด เลยมาย้อมอุบาสกให้เป็นพราหมณ์และฤๅษีไปอีก ลูกศิษย์และญาติโยมของตนเองก็เลยถูกย้อมเป็นอันเดียวกันหมด อย่างนี้แย่มาก
อุบาสกกราบเรียน ถ้าอย่างนั้นต่อไปในวันข้างหน้ากระผมจะหาวิธีดำเนินตนเองของผมให้พ้นไปจากความเข้าใจผิด ท่านอาจารย์มีหลักอะไรสอนกระผมอีกครับ
หลวงปู่ตอบ ขอให้อุบาสกจงยึดหลักกาลามสูตรที่พระพุทธองค์ตรัสสอนพวกชาวกาลามโคตรโดยมีจุดประสงค์จะไม่ให้เชื่องมงาย ที่เรียกว่า ศรัทธาวิปยุตต์ เขาว่าก็เชื่อตามเขา เห็นตำนานก็เชื่อไปตามตำนานโดยขาดเหตุผล เพราะไม่มีโยนิโสมนสิการตรองตามเหตุผล พระองค์มุ่งจะให้เชื่อโดยเหตุผลที่เรียกว่าศรัทธาสัมปยุต ทุกสิ่งทุกอย่างก่อนที่จะเชื่อ และจะยอมรับไว้เพื่อปฏิบัติหรือจะลงมือปฏิบัติตามต้องมองเห็นให้ชัดในผลดีที่เราจะพึงได้พึงถึงเสียก่อน สิ่งที่เราจะเลิกก็มองให้ชัดในผลเสียที่จะเกิดมีแก่เรา และผลที่จะพึงได้พึงถึงให้คุ้มค่าที่เราเสียสละเวลาและสิ่งอื่นๆเพื่อแลกเปลี่ยนคุณความดีนั้น เมื่อมองเห็นชัดเจนอย่างนี้ และเรื่องที่อาตมาพูดย้ำอีกก็คือในตำนานที่มีอยู่ในทางพุทธศาสนาก็มีคัมภีร์ของพราหมณ์และของพวกฤๅษียังมีปะปนอยู่ เพราะเหตุนั้นควรระวังให้มาก และลัทธินิยมเหล่านั้นพระพุทธองค์เคยมาเปรียบเทียบกับเหตุผลของพระองค์ ตัวอย่างกสิณฌานเหล่านี้เป็นต้น เพราะเป็นสิ่งที่พระองค์เคยดำเนินมาก่อนจนได้สำเร็จถึงที่สุดแห่งกสิณ พร้อมคำสมมุติฌานของฤๅษีแปลว่าความเพ่ง ฌานเหล่านี้พระองค์ดำเนินจนถึงที่สุดแล้วก็ไม่ได้สำเร็จมรรคผลอะไรเลย พระองค์จึงให้นามว่าโลกียฌาน คุณสมบัติที่ได้จากโลกียฌาน เรียกว่าโลกียสมบัติ เพราะเป็นสมบัติที่ไม่พ้นไปจากกามโลก จึงสมควรว่ากามโลกสมบัติ เพราะไม่พ้นจากกามโลกไปได้ ให้คิดดูฤๅษีที่เป็นอาจารย์ของพระเจ้าพาราณสีเข้าฌานอยู่แท้ๆ การเหาะมาก็อยู่ในกำลังของฌาน เมื่อมีเหตุการณ์อย่างนั้นมาปรากฏขึ้นยังมีความกำหนัดได้ เป็นเหตุให้ฌานเสื่อมพลัดตกลงมา ฌานชนิดนี้พอจะพูดได้ว่ายังอมกิเลสไว้ทั้งเปลือก เทียบกับโลกุตตรฌาน มีปฐมฌานที่เป็นเหตุแห่งโสดาปัตติมรรคและโสดาปัตติผลยังทำลายกิเลสได้ดีกว่าผู้ที่เข้าถึงโลกียฌานชั้นสุดท้ายเสียอีก เพราะปฐมฌานของโลกุตตรฌานผู้ที่เข้าไปถึงย่อมจะได้โลกุตตรสมบัติ ทำให้กิเลสเบาบางมาก ย่อมสมควรแก่พรหมโลกชั้นต้นอันมีกามเบาบาง สรุปแล้วพรหมโลกทั้งหมดย่อมสมควรแก่ผู้ได้โลกุตตรธรรมชั้นต้น สามจำพวก เพราะเป็นโลกที่เหนือกว่ากามโลกชั้นสูง เป็นผู้พ้นไปเสียจากกามโลก จึงสมกับคำที่ว่าโลกุตตรธรรม ผู้ที่ว่าพวกฤๅษีที่สำเร็จฌานแล้วย่อมสมควรแก่พรหมโลกเป็นศรัทธาวิปยุตต์ เพราะไปเชื่อคำพูดของฤๅษี เขากล่าวสรรเสริญว่าผู้ได้ฌานของฤๅษีเมื่อตายแล้วย่อมสมควรแก่พรหมโลก เมื่อได้ยินแล้วก็เชื่อเข้ากระดูกดำไปเลยและไม่ยอมพิสูจน์เหตุของความจริงเสียอีก ยังแถมไปสอนผู้อื่นต่อไปอีกด้วย ขอให้อุบาสกนึกถึงคำที่พระพุทธองค์ทรงปรารภถึงฌาน ฌานของฤๅษีที่พระองค์จัดว่า เป็นโลกียฌาน เพื่อนำมาเปรียบเทียบกับโลกุตตรฌาน แต่คนที่ไม่เข้าใจเลยไปถือสิ่งที่นำมาเปรียบเทียบเป็นของจริง อย่างนี้แย่มาก เมื่อหลงเชื่ออยู่อย่างนี้โดยไม่รู้จักว่าเป็นคำที่พระองค์นำมาเปรียบเทียบ ย่อมหลงยึดสิ่งที่พระองค์นำมาเปรียบเทียบอื่น ๆอีกมากมาย เพราะเหตุนั้นอุบาสกควรระวังให้มากทีเดียว ถ้าไม่อย่างนั้นจะไปหลงชมในสิ่งที่พระพุทธเจ้าตำหนิ จะยึดในสิ่งที่พระพุทธเจ้าทิ้ง ดูตัวอย่างสมัยนี้ก็แล้วกัน กิเลสตัณหาเป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าและพระอริยเจ้าทิ้ง เพราะท่านถือว่าเป็นพระยามารของจิตใจ ท่านจึงขับไล่ตะเพิดออกไป แต่พระเณรและคนสมัยนี้ส่วนใหญ่ยื้อแย่งกันมาเป็นเจ้านายของหัวใจที่มีอยู่ หวงและถนอมไว้ให้อาหารตามชอบใจ จึงเป็นเหตุให้โลกวุ่นวาย และทางศาสนาก็วุ่นวายไปตามกัน และส่วนอื่น ๆ อีก เช่น การเล่าถึงสวรรค์และพรหมโลกก็เล่าไปคนละรูปคนละทางกัน พวกที่ตกอยู่ในอำนาจของการเสพกามและชอบความสนุกสนานอื่นๆ อีก พร้อมทั้งมโหรีและดนตรี พร้อมยานพาหนะการไปมาเพื่อความสะดวกสบาย เพราะกลัวทุกข์ยากลำบาก ตลอดอาหารการกินเหล่านี้เป็นต้น ศาสนาที่บำรุงกามหรือศาสนาที่ไม่พ้นจากกาม เขาก็รู้เห็นสวรรค์ไปอย่างนี้ ศาสนาพราหมณ์อีกแขนงหนึ่งเกี่ยวกับไสยศาสตร์มีเครื่องรางของขลังและเวทมนตร์เป็นต้น เขาเล่าเรื่องสวรรค์เพิ่มเติมไปอีกพิลึก จะอธิบายควบกันไปเลย ตัวอย่าง เทพเจ้ามีพระอินทร์เป็นหัวหน้า ซึ่งอยู่ชั้นดาวดึงส์พิภพ พระอิศวรเป็นหัวหน้าใหญ่ของพวกอสูร พวกยักษ์อยู่ในชั้นจาตุมหาราช ซึ่งมีอาณาเขตติดต่อกัน เป็นเหตุให้ยกขบวนทัพแย่งสมบัติกัน พระอินทร์มีช้าง ๓๓ เศียร มีเพื่อนนั่งคอช้างและถือหอก ๓๓ คน พระอิศวรมีช้าง ๓ เศียร มีเพื่อนนั่งคอช้าง ๓ คน เข้าสู้รบกัน พวกไสยศาสตร์ชอบกันอย่างนี้ เพราะเขาชอบไปในทางรบราฆ่าฟัน และอีกพวกหนึ่งก็เล่าว่าสวรรค์นี้สบาย ไปไหนมาไหนจะต้องมีช้าง ม้า รถที่เทียมด้วยวัว ด้วยม้า ด้วยกวาง ไปมาทางไหนสะดวกสบาย มีดนตรีพร้อมด้วยนารีบริวาร สนุกสนานเพลิดเพลินด้วยความสุข มีปี่ มีขลุ่ย ทั้งซอ และพิณ เป็นเครื่องดนตรีอะไรต่ออะไรหลายอย่าง พระพุทธองค์ก็ได้ปรารภถึงสวรรค์เหล่านี้ พระองค์ชมว่าถูกบ้าง มีตำหนิบ้างก็มี ความจริงเมื่อเป็นอย่างนี้คงไม่มีใครอยากจะไปกันเลย เพราะนึกถึงความวุ่นวายของพวกเทวดาที่รบราฆ่าฟันกันทั้งนั้น ไม่เห็นว่าจะมีความผาสุกสนุกสนานที่ตรงไหน ความจริงแล้วพวกเทพเจ้าที่อยู่สรวงสวรรค์ไม่น่าจะรบราฆ่าฟันกันเลย เพราะไม่มีสิ่งใดที่จะเป็นเหตุให้รบกันได้ มานึกถึงโอวาทานุศาสนีขององค์สมเด็จพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าที่พระองค์ตรัสไว้ว่า โภโค ภิกฺขเว อสาโร สาร มกาตพฺโพ ดูกรภิกษุทั้งหลาย โภคทรัพย์เป็นที่ไม่จีรังกาล พวกท่านทั้งหลายจงแลกเปลี่ยนของที่เป็นจีรังกาล อธิบายความว่าโภคทรัพย์ทั้งหลายเป็นอันตรายแก่โจร เป็นอันตรายแก่น้ำ เป็นอันตรายแก่ลม เป็นอันตรายแก่ไฟ หรืออาจฉิบหายเพราะความโง่ของตนเอง หรือบางทีอาจย่อยยับไปตามสภาพของมันเอง หรือผู้มีอำนาจทั้งหลายจะริบเอาเสีย โภคทรัพย์ทั้งหลายย่อมไม่จีรังกาลย่างนี้ สิ่งที่จีรังกาลแล้วเล่าพระองค์ตรัสเทศนาไว้ว่า บุญกุศลนี้แลเป็นสิ่งที่จีรังกาล ย่อมไม่เป็นอันตรายด้วยน้ำ ด้วยไฟ ด้วยโจร และสิ่งอื่น ๆ พระองค์ตรัสเทศนาไว้อย่างนี้ เมื่อเราเชื่อในคำสอนของพระพุทธเจ้าอย่างนี้ และความเห็นจริงปานนี้ เรายังเชื่ออยู่หรือว่าพระอินทราธิราช และพระอิศวรจะยกขบวนทัพเข้าแย่งสมบัติกัน ความจริงผู้ที่จะไปสู่สวรรค์ได้ต้องอาศัยบุญกุศลที่ตนได้สร้างสมอบรมมาไว้เป็นสิ่งอนุคามินี และบุญกุศลนี้เป็นส่วนของใครเป็นส่วนของเราย่อมอำนวยผลให้เจ้าของผู้เป็นทายาทแห่งบุญให้ได้รับความสุข อานิสงส์นี้ย่อมจะเป็นของทิพย์ให้เจ้าของผู้สร้างสมไว้ให้ได้รับความสุขอยู่ในวิมานแมนแดนสวรรค์จนกว่าจะถึงอายุขัย ใครมีส่วนน้อยก็ได้รับความสุขน้อย ใครมีส่วนมากก็ได้เสวยผลความสุขมาก ส่วนบริวารและปราสาทก็ไม่ต้องจัดไม่ต้องสร้าง ไม่ต้องหา เกิดมาด้วยกุศลที่ตนได้กระทำไว้ทั้งนั้น ไม่ใช่จะไปประกอบขวนขวายอย่างที่เราอยู่ในเมืองมนุษย์นี้ เพราะเหตุนั้นจึงกล้าพูดได้ว่าสวรรค์ที่พระพุทธเจ้ารู้เห็น และสวรรค์ของผู้บำเพ็ญอย่างกามาวจรกุศลจะต้องไปสู่สวรรค์อย่างนี้ นอกเหนือกว่านี้ไปก็เป็นสวรรค์นอกจากพระพุทธเจ้ากล่าวไว้ ตัวอย่างสวรรค์ที่แย่งชิงดีชิงเด่นกัน และแย่งลูกเมียกันนี่มันเป็นสวรรค์ของพวกพราหมณ์ แต่คนไม่รู้เรื่องเลยนำเข้ามาปะปนอยู่ในคัมภีร์ทางพระพุทธศาสนาของพวกเรา เป็นเหตุให้คนไม่รู้นำออกมากันอีกทีหนึ่ง และอีกอย่างหนึ่งพวกที่อยู่สวรรค์ยังมี ช้าง ม้า เกวียน เหล่านี้เป็นต้น ความจริงถ้าชั้นสวรรค์ตลอดถึงพรหมโลกยังจะใช้สิ่งเหล่านี้เป็นพาหนะ คงไม่มีใครอยากจะไปสวรรค์และพรหมโลก เพราะสู้เมืองมนุษย์ไม่ได้ เมืองมนุษย์เขาเลิกใช้ยานพาหนะอย่างนั้นเสียแล้วเป็นส่วนมาก ตัวอย่างพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และท่านนายกรัฐมนตรี และคนอื่น ๆ อีกนับไม่ถ้วน พวกท่านทั้งหลายเหล่านี้เลิกใช้ยานพาหนะนั้นเสียแล้ว เพราะพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่ต้องการเลี้ยงมัน และก็สงสารมัน ทั้งเป็นยานพาหนะที่ล้าสมัย เมื่อมานึกอย่างนี้พูดได้ว่าเมืองสวรรค์สู้เมืองมนุษย์ไม่ได้ แต่ความจริงแล้วสวรรค์และพรหมโลกอย่างนี้ เป็นสวรรค์และพรหมโลกของพวกพราหมณ์ พวกฤๅษี ไม่ใช่พุทธเราเลย ถ้าพูดตามความเป็นจริง การไปสู่สวรรค์ไม่ได้นำร่างกายนี้ไปด้วย จำเป็นต้องอาศัยยานพาหนะอยู่อีกหรือ ถ้ายังต้องอาศัยยานพาหนะอย่างนั้นอยู่ในสมัยนี้พวกนักวิทยาศาสตร์คงจะคิดสร้างยานพาหนะให้ความคิดได้ขี่ยานพาหนะเหล่านั้นไปหาสิ่งรู้ต่างๆ แต่แล้วไม่เห็นเป็นอย่างนั้น เราจะคิดไปไหนมาไหนก็คิดไปเลย เรื่องนี้ฉันใด เมื่อเราไปสู่สวรรค์ก็นำแต่จิตใจไป ไม่จำเป็นต้องอาศัยยานพาหนะ ถึงแม้จะมีกายก็เป็นกายทิพย์ เรียกว่า “ทิพยกาย” พูดถึงความสุขเมืองมนุษย์เทียบไม่ได้ เพียงแค่ฉกามาพจรสวรรค์มีความสุขมากกว่าเมืองมนุษย์เราอยู่แล้ว พูดถึงพรหมโลกกิเลสกามตัวก่อกวนมันน้อยเหลือเกิน และพวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นก็มีทางที่จะกำจัดให้หมดไปไม่ต้องมายุ่งกับกามโลก เพราะ เหตุนั้นจึงพูดได้ว่าพรหมโลกเป็นสถานที่อยู่ของผู้มีฌานจะต้องไปอาศัย แต่ฌานนี้หมายถึงโลกุตตรฌาน อันเป็นเหตุให้สำเร็จตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป พูดถึงพระอรหันต์ย่อมถึงซึ่งพระมหานฤพานเสวยบรมสุขอยู่ตลอดกาล ดังได้รับประทานวิสัชนามาสมควรแก่เวลาแล้ว
ผู้ตอบปัญหาธรรมคือ หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย
ผู้กราบเรียนถามปัญหาธรรม คือ คุณครูสมบูรณ์ อินทรเสนา
ปฐมพุทธพจน์
เราแสวงหาอยู่ซึ่งนายช่างผู้ทำเรือน (อัตภาพร่างกายของเรา) เมื่อยังไม่พบ เราก็ต้องท่องเที่ยวไปในสังสารวัฏ ไม่สิ้นสุด มีความเกิดอเนกประการ ก็ความเกิดนั้นเป็นความทุกข์ร่ำไป แน่ะนายช่างผู้ทำเรือน! บัดนี้ เราพบเจ้าแล้ว เจ้าจักสร้างเรือนของเราไม่ได้อีกต่อไปแล้ว ซี่โครงของเจ้า(กิเลส ตัณหา ทั้งหลาย) เราหักเสียแล้ว ยอดเรือน (อวิชชา)เรารื้อเสียแล้ว จิตของเราได้ถึงแดนเกษม คือ พระนิพพานแล้ว โดยสังขารปรุงแต่งเราไม่ได้อีกต่อไป เราได้บรรลุถึงซึ่งความสิ้นไปแห่งตัณหาทั้งหลายแล้ว ดังนี้.
วิ.มหา.๑/๔๐
แถลงการณ์ท้ายเล่ม
ด้วยคณะศิษยานุศิษย์ ในพระวิสุทธิญาณเถร (หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย) ได้พบข้อความในหนังสือประวัติพระโพธิธรรมาจารย์เถร (หลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ) หน้า ๕๘-๕๙ ในหัวข้อ “ได้ศิษย์น้อยติดตาม” ซึ่งบทความดังกล่าวได้พาดพิงมาถึงหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย อย่างไม่ถูกต้องตามความเป็นจริง และอย่างไม่น่าจะเกิดขึ้น จึงทำให้ศิษยานุศิษย์และผู้ที่เกี่ยวข้องกับหลวงปู่สมชาย ในเครือญาติ เป็นต้น ต่างไม่สบายใจที่ได้พบเห็นบทความดังกล่าว เพื่อความเข้าใจที่ถูกต้อง จึงขอชี้แจงมายังท่านผู้ที่ยังกังขากับเรื่องนี้ว่า ข้อเท็จจริงนั้นเป็นอย่างไร ก่อนอื่นขอให้เทียบเคียงจากปี พ.ศ. ที่หลวงปู่สมชายถือกำเนิด และปี พ.ศ. ที่หลวงปู่สมชายบรรพชาเป็นสามเณร และอุปสมบทเป็นพระภิกษุ อีกด้านหนึ่งก็เทียบเคียงได้จากหนังสือชีวประวัติหลวงปู่เพ็ง พุทฺธธมฺโม หน้า ๑๗๖-๑๗๗ เทียบเคียงได้จากหนังสือชีวประวัติหลวงปู่บุญจันทร์ กมโล หน้า ๔๖
อนึ่งคำชี้แจงนี้ เป็นคำชี้แจงตามความเป็นจริงด้วยความเคารพ จากที่ได้ยินได้ฟังมาจากหลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย ผู้เป็นเจ้าของประวัติโดยตรง และได้สอบถามจากบุคคลในหมู่บ้านเหล่างิ้วซึ่งเป็นบ้านเกิดของหลวงปู่สมชาย ที่เกิดในยุคเดียวกันกับหลวงปู่ทั้งสองรูป ที่ยังมีชีวิตอยู่ รวมหลายท่านด้วยกัน จึงสรุปได้ดังนี้.-
๑. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย บรรพชาเป็นสามเณรเมื่ออายุ ๑๙ ปี เมื่อวันที่ ๕ มิถุนายน พ.ศ. ๒๔๘๗ แสดงว่าบรรพชาเป็นสามเณรอยู่ก่อนแล้วถึง ๑ ปี จึงได้พบกับหลวงปู่สุวัจน์ สุวโจ และพบที่วัดป่าศรีไพรวัน ไม่ได้พบขณะเลี้ยงควาย
๒. โยมแม่ของหลวงปู่สมชาย เสียชีวิต ตั้งแต่หลวงปู่อายุได้เพียง ๒ ขวบ โยมพ่อหนีไปอยู่กินกับภรรยาคนใหม่ คุณตาซึ่งมีบรรดาศักดิ์เป็นถึง “คุณหลวงเสนา” จึงได้อุปการเลี้ยงดูให้การศึกษาที่ดีมาโดยตลอด เช่นวิชาโหราศาสตร์ ตามที่คุณตาซึ่งเป็นผู้นำของศาสนาพราหณ์-ฮินดูมีความเชี่ยวชาญอยู่แล้ว และได้ให้เรียนวิชาแพทย์แผนโบราณ จนมีความรู้ความสามารถจัดยารักษาคนป่วยได้ ฉีดยาได้ วุฒิการศึกษาชั้นประถมปีที่ ๔ ซึ่งก็ถือว่าเพียงพอสำหรับคนในยุคสมัยนั้น โดยเฉพาะคุณตาของหลวงปู่สมชาย หากไม่มีความรู้ความสามารถและการศึกษาที่ดีแล้ว คงไม่ได้รับบรรดาศักดิ์ชั้นสูง ถึง “หลวงเสนา” จึงไม่น่าที่จะต้องฝากฝังให้ไปรับการศึกษาที่ดีกว่านี้จากใครที่ไหนอีก.
๓. คำว่าหลวงปู่สุวัจน์ ต้องหอบหิ้ว กระเตงเด็กชาย “ชาย” แสดงว่ายังเล็กมาก ถึงต้องกระเตงจนเป็นภาระ แต่ถ้าเทียบตามปี พ.ศ.เกิดของหลวงปู่สมชาย คือ พ.ศ. ๒๔๖๘ ลบด้วย พ.ศ. ๒๔๘๘ ตามหนังสือประวัติหลวงปู่สุวัจน์ อายุของหลวงปู่สมชาย ก็ต้องถึง ๒๐ ปี แต่แล้วหลวงปู่สมชาย ก็บรรพชาเมื่อ ปี พ.ศ. ๒๔๘๗ ซึ่งมีอายุได้ ๑๙ ปี แสดงว่าบวชก่อนพบกันถึง ๑ ปี
๔. คำว่าจึงได้บรรพชาให้เด็กชาย “ชาย” ที่วัดบ้านอูเม้า จังหวัดกาฬสินธุ์ ยิ่งผิดหนักจากหน้ามือเป็นหลังมือเลยทีเดียว ความเป็นจริงแล้วผู้ที่พาหลวงปู่สมชาย ไปบรรพชาเป็นสามเณร นั้น คือท่านพระอาจารย์เพ็ง พุทฺธธมฺโม เจ้าอาวาสวัดป่าศรีไพรวัน เป็นผู้พาไปบรรพชาที่วัดเหนือ อำเภอเมือง จังหวัดร้อยเอ็ด โดยมี ท่านเจ้าคุณพระโพธิญาณมุนี เจ้าคณะจังหวัดร้อยเอ็ด (ธรรมยุต) เป็นพระอุปัชฌาย์ ซึ่งตรวจสอบได้จากหนังสือสุทธิ ที่พระอุปัชฌาย์เป็นผู้ออกให้.
๕. การเดินทางไปกราบถวายตัวเป็นลูกศิษย์หลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต ในครั้งนั้น มีด้วยกัน
๑. ท่านพระอาจารย์ประสบ ซึ่งอายุพรรษาสูงสุด เป็นหัวหน้า
๒. ท่านพระอาจารย์อินตา มีพรรษารองลงมา
๓. ท่านพระอาจารย์ป่อง จนฺทสาโร มีพรรษาเป็นที่สามและมีศักดิ์เป็น น้า ของหลวงปู่สมชาย
๔. ท่านพระอาจารย์สุวัจน์ สุวโจ มีพรรษาต่อมาอีก
๕. สามเณรสมชาย เป็นลำดับสุดท้าย
เป็นการเดินทางไปในคณะเดียวกัน ถ้าหลวงปู่สมชาย จะติดตามก็น่าจะเป็นการติดตามหลวงปู่ป่อง จนฺทสาโร ซึ่งเป็นคนหมู่บ้านติดกัน คือ หลวงปู่ป่อง เป็นคนบ้านหนองเข็ง หลวงปู่สมชาย เป็นคนบ้านเหล่างิ้ว และโดยฐานะแล้วหลวงปู่ป่อง มีศักดิ์เป็น “น้า” ของหลวงปู่สมชายอีกด้วย
๖. หลวงปู่สมชาย ฐิตวิริโย นับจากวันที่บรรพบุรุษตั้งชื่อให้ ไม่เคยมีการเปลี่ยนชื่อเป็นอย่างอื่น จนถึงวันมรณภาพ.
๗. คำว่า มีเด็กชื่อ “ชาย” เป็นเด็กเลี้ยงควายอยู่แถวนั้น และคำว่า “เราดึงมาจากหางควาย” ทั้งสองประโยค เป็นคำกระทบกระเทียบเปรียบเปรย อย่างไม่น่าจะมีเกิดขึ้น การเลี้ยงควายในภาคอีสานนั้นก็ถือเป็นเรื่องปกติธรรมดา เป็นสัมมาอาชีพ แต่ชีวิตของหลวงปู่สมชายเป็นชีวิตที่ส่วนใหญ่จะอยู่กับการเดินทางค้าขาย เป็นพ่อค้านำสินค้าจากหมู่บ้านที่คุณตารับซื้อจากชาวบ้านแล้วให้หลวงปู่นำไปส่งให้พ่อค้าในเมือง แล้วนำสินค้าจากในเมืองตามที่คุณตาสั่งนำกลับมาขายที่หมู่บ้าน ซึ่งก็เป็นสัมมาอาชีพอีกเช่นกัน
คำว่า “เราดึงออกมาจากหางควาย” คำนี้คงจะมีความหมายว่าถ้าไม่มีครูบาอาจารย์ช่วยดึง ช่วยทำให้มีชื่อเสียงแล้ว ในประวัติศาสตร์คณะสงฆ์ไทยคงไม่มีชื่อ “หลวงปู่สมชาย หรือคงไม่มีชื่อ วัดเขาสุกิม” ทำนองนี้ แต่แท้ที่จริงแล้วหลวงปู่สมชายไม่ได้แอบอิงอาศัยบารมีจากใครทั้งสิ้น ได้ประพฤติปฏิบัติตามพระธรรมวินัย และปฏิบัติตามปฏิปทาที่ได้รับมาจากหลวงปู่มั่น ภูริทตฺโต นั่นเอง ไม่มีใครที่ไหนมา ดึงออกมาจากหางควาย ทั้งสิ้น.
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น