พระธรรมเทศนา
เรื่อง การนำพาจิตไปสู่อารมณ์ที่ดี
การทำสมาธิมีหลายชั้น ชั้นสูงมีดุจในพระพุทธเจ้า พระองค์มุ่งหวังความพ้นทุกข์หาอุบายวิธีดำเนินให้เป็นไปเพื่อความถึงที่สุด แห่งภพเถอะว่าง่าย ๆอันนั้นเป็นเรื่องของผู้ที่จะก้าวไปถึงที่สุด แต่อุบายอย่างเราบางคนก็คือ ควรที่จะฝึกบ้าง เพราะว่ามันดีคล้ายๆกับว่าทางด้านจิตใจของเรา หรือความรู้สึกนี้ ถ้าหากว่าก่อนที่ความรู้สึกนำพาส่วนต่างๆ บังคับให้เป็นไปตามอำจาจของมันได้โดยให้เป็นไปตามรูปของมันอย่างเดียวมันมีผลเสียกับผลดีคู่กันอยู่ เช่นดุจในการผ่านมาของพวกเราชั่วระยะที่เราผ่านมาก็พอที่จะมองเห็นได้บางอย่างเราก็ผิดบางอย่างเราก็ถูกบางอย่างก็รุนแรงเกินไปบางอย่างก็อ่อนไม่พออะไรเหล่านี้ การกระทำโดยที่เรียกว่าเป็นไปตามธรรมชาติธรรมดาอาศัยความ รู้สึก หรือเหตุการณ์ทำให้เกิดความรู้สึกตามเหตุการณ์ซึ่งสมควรที่จะรัก ก็หลงรักสมควรที่จะชังก็หลงชังอะไรเหล่านี้ มันก็สามารถที่จะกระตุ้นความรู้สึกให้เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์เมื่อเราก่อให้อำนาจจิตใจของเราต่ำกว่าเหตุการณ์ปล่อยให้เหตุการณ์หรืออารมณ์นำพาจิตของเราให้เป็นไปตามอำนาจของมันมันมีทั้งผลดี และผลเสียเจือกันอยู่อย่างมาก เราได้เห็นมา เพราะฉะนั้นเมื่อพวกเราเห็นได้อย่างนี้ สมควรอย่างยิ่งจะต้องมีอุบาย ดำเนินทางด้านสมาธิจิต การทำสมาธินี้ไม่ใช่อื่นไกล เป็นอุบายวิธีที่จะสร้างกำลังมาต่อต้านกันคือ เมื่อจิตของเราจะเป็นไปตามอำนาจของอารมณ์หรือเหตุการณ์นั้นเราจะได้ใช้กำลังจิตชนิดหนึ่ง คือว่าอำนาจของ ตปธรรม มาจากสมาธิเป็นส่วนผลนั้นก็คือ กำลังตัวคุ้มครองอันนี้สำคัญ ถ้าพวกเราก่อให้จิตของพวกเรารุนแรงไปตามเหตุการณ์นั้นพวกเราก็พอที่จะเห็นได้อย่างทุกวันนี้ และพวกเราเองที่หลังก็มาเสียใจว่าอันนี้ เราควรที่จะต่อเติมอย่างนั้น ควรที่จะทำอย่างนี้ถึงจะถูก
บางที อื้อหือ อันนี้เราชักรุนแรงไปหน่อย แหม? น่าอับอายขายขี้หน้า บางสิ่งบางอย่าง โอโฮ ? ทำให้เราท้อแท้ใจไม่ใช่เล่นทีนี้ถ้าเรา สร้างอำนาจส่วนนี้ขึ้นมาแล้วนี่ เราจะเอามายับยั้งจิตของเราไม่ให้รุนแรงไปตามเหตุการณ์โดยลำพังจะต้องยับยั้งไว้ให้ดีเสร็จเรียบร้อยต้องพิจารณาถึงผลเสียผลดีจะประกอบด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณให้แน่นอนก่อนถึงจะลงมือกระทำ หรือจึงจะพูดออกมามันเป็นอย่างนั้น ถ้าหากว่าเป็นไปโดยธรรมชาติธรรมดาแล้วก็ขาดการคำนึงคำนวณคำพูดแต่ละคำอาจจะไปกระทบกระเทือนคนอื่นได้รับความเดือดร้อน หรืออาจจะเป็นการสร้างเวรให้แก่ตัวเอง หรืออาจจะเป็นการต่อบาปเกิดขึ้นแก่ตัวเองหลายอย่างทางด้านกายและวาจาก่อนประพฤติอันนี้ สมควรที่พวกเราจะต้องสร้างกำลังของสมาธิขึ้นมาเพื่อที่จะนำเราเข้าไปสู่จุดที่เรียกว่าเต็มไปด้วยความปลอดภัย หรือถ้าจะพูดอีกนัยหนึ่งในอุบาย อย่างต่ำลงมาก็คือ เพื่อจะมาแบ่งอารมณ์ของเราให้ดี หรือให้นึกถึงความดี เพื่อจะทำให้จิตใจของเรานี้ดี ความดีที่เรากระทำ แล้ว การรักษาศีลก็ดี การเจริญเมตตาภาวนาก็ดี จนกระทั่งการให้ทานการบริจาคอะไรเหล่านี้เป็นต้น เราจะได้พยายามนิยมระลึกถึงความดีอยู่เสมอ เมื่ออารมณ์มันวุ่นวายเดือดร้อนก็จะได้หาอุบายวิธีแต่งอารมณ์ของเราได้ดีในอุบายวิธีที่ทำนี้ก็เพื่อความชำนาญ ถ้าเรามีความชำนาญดี ฉลาดในการติดต่ออารมณ์ทุกสิ่งอย่างฉลาดการประคองจิตเข้าสู่อารมณ์ที่ดี หาอุบายวิธีหรือหาเหตุผลเข้ามาทำให้จิตใจของเรานี้ให้มีความเพลิดเพลินในอารมณ์ หรือในวิธีอันนี้ ถ้าเรามีความฉลาดเป็นอาจิณแล้วผู้นั้นไม่มีทางตกนรกหลอก พระพุทธเจ้าบ่งชัดอยู่ว่าก่อนผู้นั้นจะตายหรือจวนจะตายน่ะ ถ้ามีจิตอันเศร้าหมองมีความวุ่นวายเดือดร้อนผู้นั้นจะมีหวังตกนรกได้ถ้าผู้ใดมีจิตใจซึ่งปกติมีอารมณ์ที่ดีเป็นคู่ของจิตอยู่แล้วผู้นั้นจะต้องได้นิมิตที่ดี คือเมื่อเรานึกถึงการทำบุญให้ทานบริจาคการรักษาศีลการเจริญเมตตาภาวนานิมิตอันนั้นจะเกิดนำพาหรือเห็นพระพุทธรูปเห็นเครื่องสักการะเห็นครูบาอาจารย์หรือผู้ประพฤติธรรมก็ดีอันนี้มันเป็นสิ่งที่นำพาอยู่แล้ว แล้วก็จะทำให้เกิดเห็นพระพุทธเจ้า หรือเครื่องทรงของเทพเจ้า หรือปราสาทวิมาน เมื่อเราจุติเคลื่อนจากชาติมนุษย์แล้ว เราจะไปสู่เทพเจ้าเหล่าเทวาอันนี้เป็นสิ่งแน่นอนที่สุดที่นี้สำหรับผู้ที่ไม่มีการเจริญเมตตาภาวนาให้จริงต่อการนำอารมณ์ที่ดีเข้ามาให้เป็นคู่ของใจอยู่แล้วไม่แน่นักมันแล้วแต่จิตของเราจะประหวัดไปโดยลำพังของมัน เมื่อมันประหวัดไปถ้ามันเกิดไปเจอเกาะของอารมณ์ที่ไม่ดีมาแล้ว เศร้าหมองคนนี้ก็มีทางตกนรกได้ แต่ผู้นั้นเกิดไปเกาะเอาอารมณ์ที่ดีได้ก็อาจจะมีทางก้าวไปสู่สวรรค์ได้อันนั้นยังไม่แน่นอนยังเสี่ยง ๆ อยู่แต่ถ้าจะให้แน่นอนที่สุดก็คือ ผู้มีการภาวนาหาอุบายวิธียับยั้งจิตของเราที่จะมุ่งสู่อารมณ์ดังกล่าวอารมณ์ที่ดี อารมณ์ไม่ดีต้องปราบเข้าไปจัดสรรอารมณ์ต้องปราบภพของจิตเราจากอารมณ์ไม่ดีต้องนำพาจิตใจของเราสู่อารมณ์ที่ดีหรือนำอารมณ์ที่ดี หรือให้ความคิดที่ดีมาสู่ใจของเราต้องพยายามทำให้เสมอ คือถ้าทำได้อย่างนี้ก็รับรองนรกกินเราไม่ได้ ทีนี้จะก้าวไปสู่ชั้นสูงของสมาธิก็ไม่ใช่อื่นไกลหรอก ก็เช่นเดียวกันนั้นแหละ แต่ทำให้ดียิ่งขึ้น คือว่าการสร้างสติของเรานั้นต้องให้สมบูรณ์ จนกระทั่งเรากำหนด พุท-โธ พุท-โธ ที่ปลายจมูกเรานั้นแหละ เมื่อจิตของเราไม่เคลื่อนไหวไปต่ออารมณ์สัญญาที่อื่น ไม่หนีหน้าสติไปได้ หมายความว่าอย่างนี้แหละคือสติมีอำนาจจะสามารถคุ้มครองจิตของเราให้อยู่ในอำนาจของสติ สามารถกำหนดจุดที่เราตั้งไว้คือปลายจมูกได้ แจ๋ว อยู่ตลอดเวลา เมื่อการกระทำไม่มีมีการบีบ ความมึน ทื่อ ไม่ชา หรือไม่มีความอึดอัด หมายความว่าวางถูกกำหนดถูกไม่มีการเพ่ง หรือกดดันตัวเองเลย โล่งสบาย กำหนดที่ไหนก็สบายโปร่งโล่งเลย อันนี้เรียกว่ากำหนดถูกทำถูก เมื่อเราสามารถกำหนดอยู่ในจุดใดอยู่ในจุดนั้นตลอดเวลาเลยไม่มีเคลื่อนออกไปไหนได้นั้นแหละเรียกว่า สมบูรณ์เมื่อเราสมบูรณ์ดีแล้วเราก็มาทดสอบอย่างที่ว่าให้เข้มแข็งหรือดีเด่นกว่านี้เวลาเรานอนเราก็กำหนดพุทโธ พุท-โธอยู่ที่ปลายจมูกถึงเวลาหลับก็หลับไป ถึงเวลาตื่นขึ้นมาก็พุทโธ พุท-โธ ยังแจ๋วอยู่ตลอด หรือเราสามารถบังคับให้หลับได้เต็มที่ ให้หลับได้มากให้หลับได้พอดี เราก็ถึงว่าการกระทำของเรานั้นสมบูรณ์ขึ้น หรือบางทีสามารถไม่ให้หลับก็แจ๋วอยู่ตัวอันนี้เรียกว่าสมบูรณ์แล้วที่จะเป็นการเข้าสู่สมาธิ ผู้ที่เข้าไปว่าหายใจไม่เต็มปอดมันสะอึกๆ อยู่ ทีนี้พูดถึงเรื่องการกระทำสามาธิในอุบายวิธีการดำเนินเพื่อต้องการที่ก้าวให้ถึงที่สุดแห่งภพนั้นมันไปอีกรูปใหม่คือ การสร้างสตินี่ก็ต้องให้สมบูรณ์ แล้วก็เอามาทดสอบทดลองโดยการเคลื่อนไหวการลุกขึ้น การนั่งลง การหยิบของไม่มีการกระทบกระเทือนอะไรเหล่านี้เราทำได้ว่องไวได้ดี และมีสติคุมทันไม่มีการกระทบกระเทือน โดยจะลุกขึ้นทีหนึ่ง จะนั่งลงทีหนึ่งก็ให้เรารู้ตัวโดยไม่เป็นไปตามธรรมชาติ ธรรมดา การนั่งลงของเราก็สุภาพเรียบร้อย การลุกขึ้นก็สุภาพเรียบร้อยสม่ำเสมอเป็นอาจิณรู้จักจุดการกราบของเรานี้เราจะยกมือขึ้นขนาดไหนแต่ว่าตอนที่เราจะน้อมหัวลงจะยกมือขึ้นขนาดไหนก่อนน้อมลงไปแล้วการวางมือในท่าที่สวยงามขึ้นขนาดไหนดีขึ้นขนาดไหน เราก็ทำของเราได้อยู่เป็นอาจิณคือหมายความให้สม่ำเสมอจริงๆ ไม่ใช่ว่าคราวนั้นเผลอ กราบเรียบร้อยได้สมบูรณ์คราวนั้นกราบไม่สมบูรณ์ไม่ใช่อย่างนั้นให้มีความสมบูรณ์อยู่ตลอดเวลา การกราบการไหว้ก็ให้สมบูรณ์ จนกระทั่งจะลุกขึ้นทีหนึ่ง จะนั่งลงทีหนึ่ง ก็ไม่ให้วิปริตให้สมบูรณ์ปกติอยู่ แต่ว่าไม่ใช่ทำจนว่าคนอื่นมองเห็นเป็นวิปลาสไป คือให้ละม่อมละไมสวยงามเท่านั้น หมายความว่าการแสดงออกอย่างนี้ให้สม่ำเสมอจนกระทั่งเราไปหยิบของวางของต้องว่องไวคิดง่ายๆ ไม่กระทบกระเทือน มือเบาต้องอาศัยสติเป็นตัวนำพาจนกระทั่งเราจะมองซ้ายมองขวาก็ไม่อยู่ในลักษณะรวนเร หรืออยู่ในลักษณะโลเลว่าอย่างนั้นเป็นบุคคลที่เรียกว่า มีสติสมบูรณ์ละม่อมละไม จะมองซ้ายจะมองขวาก็อยู่ในลักณษณะสวยงามไม่วู่วามบางทีเข้าไปถึงทางควรยืนซะก่อนยืนมองซ้ายมองขวาหรือจำเป็นจะต้องมองก็ต้องระมัดระวังให้ดีที่สุด เพราะฉะนั้นส่วนนี้เราคุมได้ดีแล้วจนกระทั่งกิจการงานที่เราจะกระทำเราก็ต้องนึกถึงซะก่อนว่ามันจะประกอบไปด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณ ควรหรือไม่ควรเราก็ต้องดูให้แน่นอน ถ้าประกอบด้วยโทษก็ต้องห้าม ถ้าประกอบด้วยคุณก็ต้องทำอะไรเหล่านี้ พยายามปรับปรุงแก้ไขให้สมบูรณ์นี่ก็อันหนึ่ง เมื่อกล่าวขึ้นมาถึงวาจานี่ก็อีกเช่นกัน เราจะพูดออกมาแต่ละคำต้องนึกถึงซะก่อน เพศ วัย ฐานะของเรา บางคนมีความเป็นอยู่ขนาดนี้ แต่พูดแล้วเกินตัวฟังแล้วรู้สึกมันยังไง ชอบกล ผู้รู้ทั้งหลายฟังถือว่าเป็นการขาดเหตุผล หรือพูดเกินฐานะ เรามีฐานะยังไงเราก็พยายามพูดอยู่ตามฐานะของเราอย่าเกิน ส่วนวัยก็เช่นกันเราอยู่ในวัยเด็ก วัยสาว วัยยังหนุ่ม หรือปานกลาง หรือเฒ่าแก่ เราก็พยายามพูดให้พอเหมาะพอดีกับเพศวัย พอเหมาะพอดีกับฐานะ พอเหมาะพอดีกับวัยของเรา ไม่ใช่ว่าแก่แล้วมาพูดเหมือนกับเด็กเช่นนี้ก็ไม่ควร หรือจะวางตัวซะเกินไปก็ไม่ควรต้องให้รู้จักความพอเหมาะพอดีของตัวเอง การพูดต้องพอเหมาะพอดี เพศ วัย ฐานะของเรา หรือผู้หญิงก็เหมือนกัน ชายก็เหมือนกันเป็นพระเป็นเณรก็เหมือนกันต้องนึกถึงเพศของตัวเอง การแสดงออกอย่าให้คะนองต้องพยายามให้พอเหมาะพอดี เพราะฉะนั้นอันนี้ เราต้องตรวจตรา ให้ถี่ถ้วน ในอุบายวิธีที่ทำนี้ก็หมายความว่าไม่ให้อารมณ์นี้นำพาความรู้สึกของเราให้เป็นไปตามอำนาจของมันท่าเดียว เราจะต้องให้ส่วนกระตุ้นหักห้ามจิตของเราไม่ให้เป็นไปในรูปของอารมณ์โดยลำพังโดยต้องใช้ปัญญาพิจารณาให้ถ่องแท้ว่าอันนี้ประกอบด้วยคุณอันนี้ดีแน่ อันนี้สมควรต้องตัดทิ้งอะไรเหล่านี้เมื่อเราสามารถทำได้อย่างนี้ก็เรียกว่าเราจะไม่ตามหลังกิเลส เราจะไม่ตามหลังอารมณ์รูปหรือเหตุการณ์อันที่ปรากฏขึ้น เหตุการณ์อันควรให้เรารักก็ตาม เหตุการณ์อันควรให้เราชังก็ตาม เราจะไม่เป็นไปตามรูปของเหตุการณ์เราจะเป็นไปตามแนวคิดที่ดีที่งามเกิดมาจากกำลังของสมาธิที่แน่นอนเพราะ เราจะต้องดำเนินมันไม่พลาด มันไม่เป็นไปเพื่อบาปอะไรเหล่านี้ ในอุบายวิธีที่ทำก็คล้ายกันกับว่าวางแผนทำลายกิเลส วางแผนทำลายภพของจิตถ้าจะว่ากิเลสเป็นรูปของกิเลส ถ้าจะว่าภพก็คือภพของจิตอารมณ์สัญญา หรือเหตุการณ์อันที่เราคิดไม่ถึงแล้วทำให้เรากระสับกระส่ายมันเป็นภพของจิต หรือเป็นกิเลส เพราะฉะนั้นเราจะไม่ให้จิตของเราอยู่ใต้อำนาจของสิ่งนั้น ถ้าอยู่ในใต้อำนาจของสิ่งนั้นก็เท่ากับว่าโลกธรรมมันครอบจิตของเราอยู่ เราอยู่ใต้อำนาจโลกธรรม ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ต้องมีเกิดอยู่ร่ำไป เพราะฉะนั้น เมื่อเราไม่ต้องการเกิด เราก็หาอุบายวิธีแก้ไข อย่าให้โลกธรรมหรือว่าเหตุการณ์อยู่เหนือเราหมายความว่าสิ่งกระทบนั้นแหละหรือสิ่งที่เราได้เห็นจริง สิ่งที่เราได้ฟังทั้งหมดนั่นแหละ เมื่อเราได้เห็นได้ฟังเราก็จะได้หาทางระงับจิตของเราไม่ให้เป็นไปตามรูปของกิเลส เราต้องพิจารณาให้เหมาะให้ควรการกระทำของเราให้เหมาะให้ควรให้ดูถูกต้อง คำที่ว่าถูกนี้ไม่ได้เป็นไปตามรูปนิยมอย่างเดียวต้องอาศัยธรรมของพระพุทธเจ้าเป็นเครื่องตัดสิน ต้องนึกถึงผู้ประพฤติคุณนี้เป็นใหญ่แล้วอุบายวิธีการดำเนินอย่างนี้นั้นจะเข้าไปถึงชั้นสูงของสมาธิ เพราะเป็นอุบายวิธีทำลายภพของจิต แต่ก่อนที่เราจะทำได้นี้เราจะต้องสร้างอย่างที่ว่านั่นแหละสร้างกำลังสติของเราขึ้นมาคือ การเดินจงกรมบ้าง นั่งสมาธิบ้าง ยืนทำสมาธิบ้าง นอนทำสมาธิบ้าง พยายามอบรมสติของเราให้สมบูรณ์จนกระทั่งจะเคลื่อนจะไหวอะไรทั้งหมดมีสติคุมพร้อมสมบูรณ์จริงๆ จนกระทั่งตัวอริยมัคคุเทศก็คือ ตัวปัญญา หรือวิปัสสนาญาณเราก็พยายามสร้างขึ้นมาเพื่อตัดสินความเสมอให้กิริยาอาการแสดงออกทันกันว่า อันนี้ประกอบด้วยโทษ หรือประกอบด้วยคุณ เหมาะไหมว่า เราเป็นพระ เป็นเณรเหมาะไหมว่า เป็นหญิง เป็นชายอยู่ในวัยที่เป็นพ่อคน แม่คน หรือลูกคนก็ดี หรืออยู่ในวัยขนาดสาวก็ดี การแสดงออกจะมีความเสียหายอย่างไรบ้างอะไรเหล่านี้เป็นต้น อันนี้ควรหรือไม่ควรไม่อยู่ใต้อำนาจกิเลสตัณหา คือหมายความว่า เราต้องนึกถึงความเป็นอยู่ของตัวเองนึกถึงโคตรชาติ ตระกูล นึกถึงหมู่คณะที่ร่วมกันบำเพ็ญนึกถึงพระศาสนาซึ่งองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เป็นอัจฉริยะมนุษย์ได้ประกาศสัจธรรมให้แก่พวกเราแล้ว เมื่อพวกเราน้อมตัวเข้ามาอยู่ในขอบเขตแห่งธรรมวินัยของพระพุทธเจ้าแล้วในความประพฤติในการแสดงออกนี้จะเป็นอันตรายต่อสิ่งนั้นหรือไม่ จะเป็นผลเสียอยู่ในทำนองที่ว่าเราเป็นผู้ย่ำยีหรือไม่ เราจะต้องใช้บทวิจารณ์ตลอดเวลาในอุบายใช้บทวิจารณ์ เพื่อหักห้ามจิตของเราที่เรียกว่า เป็นอุบายสร้างซึ่งตัว”อริยมัคคุเทศก์”ที่จะก้าวเข้าไปสู่อริยบุคคลพยายามฝึกขึ้นมา เมื่อเราฝึกสติตัวคุ้มครองให้จิตอยู่ในอำนาจของสติได้แล้ว เราสร้างตัวปัญญาหรือว่าตัววิปัสสนาญาณ คือตัดสินบทความขึ้นมาเป็นคู่กันได้ดีแล้ว มันจะเป็นไปซึ่งการตรัสรู้ธรรมได้ง่ายที่สุด ถ้าหากว่าผู้ใดทำสมาธิโดยไม่มีปัญญากำหนดซึม เมื่อสงบสู่ฐานของสมาธิอันลึกซึ้งแล้วก็เกิดปัญญาจึงจะรู้เองว่าเป็นไปไม่ได้ต้องอาศัยเราสร้างขึ้นมาเองเพราะ ฉะนั้นเมื่ออาศัยสติคุมสมาธิให้ซึมเข้าไปเฉยๆน่ะมันก็เป็นไปเพื่อสมาธิได้แต่อีกลัทธิหนึ่งซึ่งพระพุทธเจ้าของเรายังไม่ได้ตรัสรู้ธรรมท่านไปศึกษาในสำนักลัทธิแบบนี้เหมือนกันแต่ท่านก็เป็นไปเพื่อสมาธิได้มีฌาณมีญาณอะไรเหมือนกัน แต่อาสวักขยวิชชา อาสวักขยญาณ ไม่มี แต่อย่างอื่นมี บุพเพนิวาสานุสติญาณ มี จุตูปปาตญาณ มีแต่อาสวักขยญาณไม่มี คือความสิ้นเสื่อมของแห่งอาสวักกิเลสนั่นเองทีนี้การทำสมาธิอีกแบบหนึ่งใช้บทวิจารณ์ใช้การพิจารณาร่างกายเป็นใหญ่ร่างกายเกิดขึ้นมาด้วยธาตุอะไรกระดูกมีกี่ท่อน เส้นเอ็นมีกี่เส้นจนกระทั่งประสาทในระหว่างสายเยื่อสายพานถึงไหนอะไรเหล่านี้เป็นต้นสามารถดูได้ละเอียดละออเรียบร้อย ใช้ปัญญาใคร่ครวญอยู่ตลอดเวลาพร้อมทั้งพิจารณาถึงบทธรรม หรือสภาวะของธาตุทั้งหลาย แต่ไม่มีความสงบเป็นพื้นฐานเลยมันก็ฟุ้งซ่านอยู่ตลอดเวลาเพราะไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ธรรมได้ แต่วิธีทำอย่างนี้นั้นก็อาจจะเข้าใจอะไรต่ออะไรได้ดีมากพูดได้ดีมากอะไรเหล่านี้เป็นต้น แต่การตรัสรู้ธรรมดูเหมือนว่าจะยากมาก เพราะฉะนั้นหากในเมื่อบุคคลผู้ใดขาดกำลังทั้งสองทีไม่มีความสามัคคีกันแล้วไม่เป็นไปเพื่อความตรัสรู้ได้ พระพุทธเจ้าถึงได้บอกว่าตอนที่จะตรัสรู้ธรรมนี้ต้องเป็นไปด้วยความสามัคคีในระหว่างคำที่ว่า สามัคคีในระหว่างก็คือ การดำเนินของเรานี้มีสติสมบูรณ์แล้ว มีปัญญาสมบูรณ์แล้ว สติกับปัญญานี้สามัคคีกันแล้วสามารถตัดสินความเหมาะเจาะถูกต้องอันนี้โทษเข้าใจว่าเป็นโทษจริงๆ เลิกได้จริงๆ อันนี้คุณเข้าใจว่าเป็นคุณจริงๆ สามารถน้อมนำความประพฤติของเราให้เข้าสู่จุดนั้นเป็นไปเพื่อธรรมนั้นจริงๆ ถูกต้องทั้ง ๒ อย่าง เมื่อสามารถทำได้อย่างนี้เรียกว่า ทำด้วยมรรคสมังคีการดำเนินมรรคหรือการก้าวสู่มรรคหรือเป็นไปเพื่อการก้าวสู่ธรรมที่เป็นไปเพื่ออริยบุคคล ก็สมบูรณ์ขึ้นก็เรียกว่า มรรคสมังคี นี้เป็นอย่างนั้นเพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพยายามดำเนินให้เป็นไปในรูปนี้หมายถึงการดำเนินด้านสมาธิจิต แต่ถ้าจะพูดถึงเรื่องชั้นต่ำๆธรรมดาซึ่งจะให้พวกเราผู้ที่ไม่เข้าใจในวิธีสมาธิได้ฟังเพื่อเข้าใจบ้างก็ คือเราพยายามฝึกตัวของตัวเองให้คุ้นเคยต่อบุญให้รู้จักการเข้าวัดให้รู้จักการเข้าวา ให้รู้จักการเข้าไปหาพระหาเจ้ารู้จักการกราบการไหว้รู้จักการทำบุญบริจาคให้จริง จนกระทั่งการนอนการอะไรให้ฝันถึงพระ ฝันถึงเจ้า วันนั้นฝันว่าได้ทำบุญบ้าง วันนี้ฝันว่าได้ไปรักษาศีลบ้าง วันนั้นได้ไปเจอครูบาอาจารย์เหล่านี้เป็นต้น พยายามฝึกไว้ให้จริงให้คุ้นกันซะเมื่อเราสามารถทำความดีจนจิตใจจริงต่อความดีแล้วนั่นแหละอารมณ์อันนึกถึงความดีที่เรากระทำมันไว้สามารถที่จะเป็นบันไดให้เราก้าวเข้าสู่สันติสุขอันหนึ่งได้ เพราะฉะนั้นขอให้พวกเราพยายามกระทำซะให้มาก แต่บางคนแล้วบุญกุศลไม่อยากทำ แต่ถึงคราวเข้าตาอับจน หรือมีเหตุอะไรเกิดขึ้นก็มักจะร้องถึงบุญอยู่เสมอว่าขอให้บุญช่วยด้วย ขอให้บุญช่วยด้วย ยกรูปเปรียบเหมือนกันกับบุคคล คนที่เราไม่รู้จักเขา เขาก็ไม่รู้จักเรา ต่างคนต่างก็ไม่มีบุญคุณอะไรต่อกันไม่ได้สังสรรค์วิสาสะอะไรกันเลยเมื่อถึงคราวจำเป็นเราก็ขอร้องเขา ดูเหมือนว่ามันจะยาก เช่นคนไม่รู้เรื่องรู้ราวไปขอยืมสตางค์เขา หรือเหตุจำเป็นขอพึงอาศัยเขา รู้สึกจะยากแต่สำหรับคนที่คุ้นกันทำความดีร่วมกันมามีบุญคุณต่อกัน จนกระทั่งรู้จักนิสัยใจคอกันได้ดี หากในเมื่อมีเหตุจำเป็นเราขอร้องเขา สงสัยจะถึงกันได้ง่ายกว่าเช่น อาจมีเหตุเกิดขึ้นร้องโวยวายช่วยกันด้วยอะไรเหล่านั้นคนที่คุ้นกันจะต้องวิ่งมาช่วยเรา แต่คนที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรกับเราเลย การช่วยหาได้ยากฉันใดก็ดี ความดีบุญกุศลถ้าเราสร้างสมอบรมหรือการทำจนจิตของเรานั้นคุ้น เมื่อเราต้องการจะให้บุญช่วยกุศลช่วยกันได้ง่ายเป็นอย่างนั้น เพราะฉะนั้นสำหรับบุคคลที่ไม่ได้ทำความดีเอาไว้เลยนี้ แหม? พอพ่อแม่ตายละก็ไปเคาะโลงพ่อเอ้ย รับศีลเน้อ แม่เอ้ย รับศีลเน้ออะไรเหล่านี้เป็นต้น ไม่รู้จะรับได้ยังไงก็คนไม่เคย นี่พระท่านกำลังให้พรนะรับพรนะ พ่อเอ้ย แม่เอ้ย เดี๋ยวจะได้ไปสู่สวรรค์นิพพาน โถมันไม่เคยจะไปรับได้ยังไงนะ ไม่มีทางแน่ เพราะเหตุนั้นอันไม่เคยซะเลย มันไม่เป็นเรื่องเป็นราว บางทีเขานิมนต์อาตมาไป พ่อเขาป่วย หรือแม่เขาป่วยอะไรเหล่านี้เป็นต้นบางทีจวนจะตาย โอ๊ย? ไปในสติเขาเถาะบางทีจะได้ไปสวรรค์นิพพานบ้างไปดูแล้วเขาก็ไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไรเพราะเขาไม่ได้ชินกับพระ ไม่ได้ชินกับเจ้าไม่รู้จักพระเจ้าพระสงฆ์ พระเจ้าพระสงฆ์มีหน้าที่ยังไง ท่านมีความดีอย่างไร ไม่รู้จักความดีของพระเจ้าพระสงฆ์ เราไปเห็นก็บอกว่าไม่มีอะไร เพราะฉะนั้นผู้ใดเข้าหาพระ หาสงฆ์ จนกระทั่งรู้จักความดีของพระของเจ้าแล้วหากในเมื่อจะตายว่าไปง่ายๆ พอเห็นพระเห็นเจ้าก็ดีใจยกมือไหว้ โอ้ยดีใจ พอพระท่านแนะนำเอานะตั้งใจ พุทโธ นะอะไรเหล่านี้ โอ๊ย? ทันทีละซิ ก็นึกถึงพุทโธ นึกถึงความดีผลที่สุดก็ได้ไปสู่ความสุขได้อย่างต่ำที่สุด สวรรค์ต้องมีหวังได้ไป ไอ้แต่สำหรับคนไม่รู้เรื่องรู้ราวน่ะ เอาพุทโธเน้อ พุทโธเน้อ ธัมมัง สังฆัง โอ๊ย ไม่ต้องบอกหรอกตั้งแต่ยังมีชีวิตอยู่บอกก็ไม่รู้เรื่องไอ้ที่จวนจะตายไปบอกยังไงจึงจะเป็น เพราะฉะนั้นเราต้องการอยากจะให้เป็นก็ต้องฝึกไว้ตั้งแต่เบื้องแรก น่าจะเห็นได้อย่างลิง ลิงพอจับขึ้นไปบนเวที เอาต้องเล่นละครนะ ตัวอื่นทำไมเล่นได้ ไอ้ไม่ได้ฝึกเลยตีมันจนตาย จะตีมันจนขี้แตกมันก็ไม่ทำเพราะมันไม่เป็นลิงที่ฝึกเล่นละครดีแล้วฉลาดแล้วทำได้ดีแล้ว พอขึ้นบนเวทีร้องเพลงหรือว่าอาจจะดนตรีอะไรขึ้นมามันก็เอาแล้วเต้นรำแล้ว แสดงในบทละครฉันใดก็ดี คนที่ฝึกไว้กับคนที่ไม่ฝึกไว้ก็เหมือนกันนั่นแหละเพราะฉะนั้นเรารีบฝึกซะก่อนตาย ฝึกไว้ให้ได้ แต่ความตายทุกคนก้าวเข้าไปทำอยู่ทุกวันน่ะจะต้องถึงแน่ความตายจะต้องมาถึงเราในวันข้างหน้า เพราะฉะนั้นทุกคนหนีไม่พ้นจึงสมควรอย่างยิ่งจะต้องเตรียมอะไรเอาไว้ เพื่อประโยชน์สำหรับเรานี้ อธิบายเหตุผลสู่ฟังมาก็หลายอันพันอย่างวันนี้ก็รู้สึกว่า ร่างกายสังขารก็ไม่สู้จะดีนัก อาตมาก็ขอยุติอยู่เพียงแค่นี้นะ ขอให้บรรดาพวกเราผู้มุ่งหวังต่อความดีที่เสียสละมานี้น่ะ น่าปลื้มใจมาก และก็น่าภูมิใจมาก แต่อาตมาเองเห็นการเสียสละของพวกท่านทั้งหลายมานี้ แหม? มันปลื้มใจมากไม่รู้จะให้พรอย่างไรจึงจะสมกับพวกท่านทั้งหลายที่กล้าเสียสละมาแต่ถึงแม้จะอย่างไรก็ตามเถิด อันพรและอำนาจอันศักดิ์สิทธิ์ก็คงจะไม่เกิน พระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ไปได้ เพราะฉะนั้นอาตมาก็ขออ้างอิงถึงพระพุทธเจ้า และพระธรรมพระสงฆ์ซึ่งเป็นสิ่งที่มีอานุภาพมากที่สุดในโลก อย่างที่ครูบาอาจารย์ทั่วไปมักจะอธิฐานว่า พุทธานุภาเวนะ ธัมมานุภาเวนะ สังฆานุภาเวนะ อันที่มีอานุภาพที่สุดทั้ง ๓ อย่างนี้ สิ่งที่มีอานุภาพอันยิ่งใหญ่นี้จงมาคุ้มครองอภิบาลรักษาพวกท่านทั้งหลายที่กล้าเสียสละมาเพื่อส่งเสริมพระศาสนาและมาเพื่อประพฤติดี เพื่อเป็นการให้กำลังแก่พระศาสนา และให้เป็นกำลังแก่พระภิกษุเจ้าสามเณร ผู้ที่ตั้งใจเสียสละมาประพฤติธรรมอยู่ ณ สถานที่นี้ ขอให้บรรดาพวกท่านทั้งหลาย ผู้มีเจตนาและกล้าเสียสละมาเพื่อความดีนี้ จงประสบแต่ความสุข ความเจริญภัยพิบัติอันตรายจะเกิดขึ้น อานุภาพต่างๆ จงป้องกันไว้ และคนที่อยู่ในความปกครองหรือท่านที่มีพระคุณทั้งหลายที่มีชีวิตอยู่ก็ดี ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นจงประสพความสุขความเจริญตามพวกท่านทั้งหลายไป หรือถ้าผู้ใดที่ละวายชนม์ไปแล้วจะเป็นญาติของพวกท่านทั้งหลายมีบิดามารดาเป็นต้น อุปัชฌาย์ อาจารย์ก็ดี พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นที่จากพวกท่านไป หากไปอยู่ ณ สถานที่ใดก็ดี ความดีอันที่ท่านทั้งหลายสร้างเสียสละมากระทำอย่างวันนี้ขออำนาจความดีทั้งหลายนี้ จงถึงหากท่านทั้งหลายเหล่านั้น หรือหากท่านทั้งหลายเหล่านั้นไม่มีโอกาสจะทราบด้วยตามวิถีส่วนใดก็ตาม ขอเชิญเทพเจ้าเหล่าเทพาที่ทราบเรื่องราวอันนี้จงนำข่าวสารไปแจ้งแก่พวกท่านทั้งหลายเหล่านั้นด้วยให้ได้ทราบข่าวสาร เมื่อได้ทราบข่าวสารนี้แล้วนั้น ขอพวกท่านทั้งหลายจงอนุโมทนาในความดีอันพวกท่านทั้งหลายได้บำเพ็ญมานี้ เมื่ออนุโมทนาในความดีแล้ว ขอจงมีบุญญาธิการ อันที่พวกเราได้อุทิศให้นี้ได้เป็นสมบัติของตัวเองได้เกิดขึ้นเมื่อผู้ใดตกทุกข์ได้ยากขอให้พ้นจากทุกข์ ถ้าท่านใดที่มีความสุขแล้วก็ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น